เข็มทิศชีวิต: จิตใต้สำนึก
โดย ฐิตินาถ ณ พัทลุง behappycompass@gmail.com
ใครคิดว่าตัวเอง ไม่เก่งเรื่อง ศิลปะ บ้าง
ใครคิดว่าตัวเองไม่มีหัวทางดนตรี หรือ คำนวณ บ้าง
ทำไมถึงคิดอย่างนั้น หลายคนตอบว่า ครูบอก ตอนอยู่ประถมหรือบางคนพ่อแม่สอนการบ้านแล้วโมโห ตะโกนใส่หน้าลูกว่าทำไมลูกโง่จริงๆ
ตอนนี้พอคุณเป็นพ่อแม่คุณก็รู้ว่าพ่อแม่ก็ไม่ได้รู้หรอกว่าตัวเองพูดอะไร บางครั้งพ่อแม่ไม่รู้จะจัดการกับชีวิตตัวเองยังไง จนเหนื่อยเกินไปแล้วก็มาอารมณ์หงุดหงิดฉุนเฉียวใส่ลูกโดยไม่จำเป็น หรือเอาปมด้อยที่ตัวเองทำไม่ได้หรือไม่เคยกล้าทำมาใส่ให้ลูกทำให้ได้ พอคุณมองกลับไปดูด้วยความเข้าใจโลกมากขึ้นอย่างที่คุณมีตอนนี้ คุณจะรักพ่อแม่อย่างที่ท่านเป็น เข้าใจท่านมากขึ้นและเอาขยะที่ไม่จริงออกไปจากหัวตัวเองง่ายขึ้น
ชายคนหนึ่งป่วยโดยไม่มีสาเหตุหมอไม่รู้ว่าจะรักษาตรงไหนเพราะปกติดีทุกอย่างแต่เจ็บปวดไปทั้งตัว ปรากฎว่าตอนทำวิทยานิพนธ์เคยป่วย ตั้งแต่นั้นโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว จิตใต้สำนึกเรียนรู้ที่จะป่วยในเวลาที่ไม่ต้องการส่งมอบผลงานในชีวิต ไม่ต้องรับผิดชอบทั้งชีวิตตัวเองและคนอื่น แต่เจ้าตัวไม่รู้เสียเงินรักษาหมอทั่วโลกก็ไม่หายเสียที จนต้องทำให้จิตใต้สำนึกยอมรับประโยชน์ที่ได้มากกว่าและมีความสุขกว่าหากแข็งแรง จึงยอมให้ร่างกายแข็งแรงได้
ถ้าลองมองดูดีๆ พ่อแม่ก็มีพลาดกับลูกบ้าง เราเองก็เอาประสพการณ์แบบที่เราเคยชินมาใช้บ้าง หรือ ครูที่พูดไม่ดีเหล่านั้นก็ไม่ได้เป็นนักวิจารณ์ศิลปะ ดนตรี หรือนักคณิตศาสตร์ระดับโลกสักหน่อย ไอน์สไตน์ยังเคยถูกตัดสินว่าเป็นเด็กเรียนรู้ไม่ได้เลย
ฉันในฐานะที่เขียนหนังสือเข็มทิศชีวิต ซึ่งวันนี้มาถึงเล่มที่สามแล้ว คนซื้อไปอ่านรวมกันเกินล้านเล่ม เคยถูกครูประถม นอกจากวิจารณ์งานเขียนเรียงความฉันแล้ว ยังให้สี่เต็มสิบอีกต่างหาก โทษฐานที่ไม่ขึ้นต้น ลงท้ายตามกรอบที่ครูบอก ถ้าฉันเก็บสิ่งที่ครูพูดไว้ในหัววันนี้ก็ไม่มีหนังสือเข็มทิศชีวิต ไม่นับที่ครูจะให้ฉันแทบไม่ผ่านเรื่องการพูดต่อหน้าคนpublic speakingเพียงเพราะฉันไม่ยอมนั่งพูดอยู่เฉยๆ แต่เดินไปมา
มีคนมากมายที่จะทำบางอย่างทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนาที่อาจทำให้คุณรู้สึกไม่ดี ประเด็นก็คือทำไม บางคนรับ บางคนแบกขยะไว้ไม่ยอมเท บางคนก็ไม่รับขยะเข้ามา เพราะเขาเลือกกำหนดชีวิตตัวเอง
สิ่งที่น่าแปลกใจคือเราเปลี่ยนรุ่นโทรศัพท์มือถือ เปลี่ยนรุ่นคอมพิวเตอร์ ซอฟแวร์ระบบปฎิบัติการต่างๆในคอมพิวเตอร์ของเรา เราก็ต้องปรับให้ใช้งานได้ดี พร้อมตรวจไวรัสตรวจสิ่งแปลกปลอมอยู่ตลอดเวลา
แต่ระบบปฎิบัติการที่อยูในหัวเรานี่สิ เราเคยตรวจสอบบ้างหรือเปล่าหรือปล่อยให้เป็นแบบออโต้ไพล็อต ขับเคลื่อนอัตโนมัติตามความเคยชินเดิมๆ แล้วมาสงสัยว่าทำไมบางอย่างในชีวิตไม่เวิร์ค ไม่เห็นทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตพาเราไปอยู่ในจุดที่ดีที่สุดในการเรียนรู้ของเราเสมอ แบบที่เข็มทิศว่า ก็เพราะบางคนยังใช้สิ่งที่ พ่อ แม่ ครูบอก หรือ ความรู้สึกตั้งแต่อายุไม่กี่ขวบ มาใช้เป็นกรอบในการมองโลกมองชีวิตและตอบสนองต่อสิ่งต่างๆในชีวิตอยู่เลย
ฉันศึกษาและทำงานเรื่องนี้ร่วมกับหมอต่างชาติมาหลายปีเงียบๆเพราะคิดว่าคนไทยคงไม่สนใจ เพราะคนไทยเรามีความเข้าใจสูงกว่านั้นและนี่เป็นเพียงเรื่องแค่การบริหารจัดการจิตใต้สำนึกในการใช้ชีวิตประจำวันเท่านั้น เหมือนเราบริหารสต็อค บริหารบัญชีการเงิน แต่ปรากฎว่าในปัจจุบันมีคนมาขอคำแนะนำยาวจนต้องรับเฉพาะกรณีที่แพทย์แนะนำมาเท่านั้น เลยฝึกสอนเพิ่มจนสถาบันที่อเมริกาให้ไลเซนต์ให้ฉันจัดอบรมคนเพื่อทำงานช่วยเหลือคนด้านนี้ได้ โดยคนเรียนได้ใบรับรองตรงจากสถาบันของอเมริกา คนไทยที่เรียนจะได้ออกไปทำงานเรื่องนี้ได้เพราะเป็นมาตราฐานเดียวกันทั่วโลก
คุณสามารถตรวจสอบ ปรับเปลี่ยนระบบปฎิบัติการที่คุณใช้ขับเคลื่อนชีวิตตัวเอง ถ้าความเชื่อนี้ ภาพความทรงจำนี้ ความรู้สึกนี้ มุมมองโลกแบบนี้ มันเป็นโทษ ไม่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตคุณและคนอื่น จำกัดความก้าวหน้าในชีวิตคุณคุณก็แค่ เก็บสิ่งที่คุณได้เรียนรู้ขึ้นมาใว้ในใจ จะได้ไม่ต้องกลับไปเรียนเรื่องเดิมอีก แล้วปิดสวิชต์มันทิ้งไป แล้วเลือกใช้มุมมองความเชื่อกรอบการมองโลกอันใหม่ที่ใช้งานได้ดีเป็นประโยชน์ต่อชีวิตตนเองและคนอื่น
จำไว้เสมอว่า นี่ชีวิตคุณ คุณจะเลือกเป็นเพียงแค่ผู้โดยสารในรถแห่งชีวิตตัวเองโดยปล่อยให้คนอื่นเลือกให้ว่าคุณควรคิดอย่างไรต่อชีวิต แล้วสิ่งที่คุณคิดมันก็กำหนดสิ่งที่คนอื่นปฏิบัติต่อคุณ กำหนดสิ่งที่คุณจะได้รับในชีวิตตัวเองอีกต่างหาก
หรือ จะเลือกเป็นคนกำหนด เป็นคนขับ ชีวิตของตนเอง
ทางเลือกอยู่ในมือคุณเสมอ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น