จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เข็มทิศชีวิตมหัศจรรย์






เข็มทิศชีวิต มหัศจรรย์จิต โดยฐิตินาถ ณ พัทลุง behappycompass@gmail.com
นสพ post today 5กย 2553


วันหนึ่งหลังจากเสร็จการบรรยายเรื่อง NLP neurolinguistic programming กับการชำระจิตใต้สำนึกเพื่อเข้าถึงศักยภาพสูงสุดของตน ให้กับองค์กรชื่อดังแห่งหนึ่ง ผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาตาแดงกำ่ แต่หน้าเปื้อนยิ้มขนาดหนัก แล้วมาบอกครูอ้อยครับขอจับมือหน่อยครับ ฉันก็ว่า เอาละสิ บรรยายคราวนี้แจ็คพอตแฮะ อ้าว! เอ๊ย! ไม่ใช่! ไม่ได้ค่ะ ขอจับมือวิทยากรไม่ได้ค่ะไม่รวมอยู่ในรายการค่ะ ! ผู้ชายคนนั้นยิ้มขำแล้วบอก ไม่ใช่อย่างนั้นครับ ผมจะมาขอบคุณ

ตอนที่ครูอ้อยเล่าเรื่องผู้หญิงท้องแก่ที่ติดต่อสามีไม่ได้ แทบจะต้องคลอดลูกในแท๊กซี่น่ะครับ ตอนที่แท๊กซี่ปลอบใจเธอว่า ไม่ต้องห่วงหรอกครับคุณผู้หญิง ตอนนี้ตำรวจจราจรทำคลอดได้ทุกไฟแดงแหละครับ ผมหัวเราะเสียแทบแย่

แต่พอตอนที่เธอคลอดแล้วจะลงมาจ่ายเงินกลับมาเจอสามีพาผู้หญิงท้องแก่อีกคนมาคลอด แล้วพอเธอเรียกก็ไม่แม้แต่จะหันมามองหน้าลูกหน้าเมีย จนหลังจากวันนั้นชีวิตเธอเริ่มขาลง ลูก เพื่อนที่ทำงาน ลูกค้า ทำเหมือนเธอเป็นพรมเช็ดเท้า จนเธอเพิ่งมาเห็นตอนมาฟังบรรยายแล้วทำกิจกรรมว่า เหตุที่ชีวิตเธอแย่ลงเพราะ ตอนที่สามีเธอเดินออกไป ความนับถือตัวเองของเธอเดินออกไปพร้อมกับเขาด้วย

แล้วครูทำให้เธอเห็นว่าสิ่งที่สามีทำบอกคุณค่าเขา ไม่ใช่คุณค่าเรา คุณค่าของเรา เรากำหนดเองจากสิ่งที่เราเป็น สามีอาจรู้สึกผิด อ่อนแอ ขลาด จนต้องทำให้เธอรู้สึกแย่แทน

แจ่มแจ้งเลยครับ ผมก็เป็นแบบเธอเหมือนกัน

ตอนต้นชั่วโมงที่ครูอ้อยให้เข้าไปในหัวตัวเองเห็นภาพคนที่เราชื่นชมในคุณสมบัติของเขา เห็นสิ่งที่เขา ทำ มี เป็น แล้วเห็นสิ่งที่เราปรารถนา มี ทำ เป็น ขยายมันจนทุกเส้นประสาทเราทุกส่วนเราสั่นสะเทือน ตอบสนอง
ตอนให้เอาตัวเราไปใส่ในภาพ แล้วขยายภาพเร่งเสียง เหมือนดูหนังจอใหญ่4 มิติ ผมรู้สึกเหมือนทุกอณูในร่างกายมันปรับการเรียงตัวของเซลล์ใหม่ ไอเดียต่างๆ ขั้นตอนการทำให้สำเร็จที่ไม่เคยคิดได้ มันปรากฎชัดขึ้นในหัว เหมือนทุกอณูในตัวมันพร้อมลงมือสู่ความสำเร็จ วิ่งเป็นร้อยภาพภายในเวลาไม่กี่นาที จนผมตลึงว่า ในหัวเราสามารถทำอะไรแบบนี้ได้ด้วยหรือ
แล้วตอนที่ครูอ้อยให้ดูความรู้สึกอึดอัด ที่เราเคยกลบมันด้วยการกินหนัก ช็อปหนัก ดูวีดีโอเกาหลีทั้งวันทั้งคืน ไปกินเหล้า นินทา หากิ๊กใหม่ ให้หยุดกลบเกลื่อนมันแล้วให้กลับไปที่ตอนครั้งแรกที่ความรู้สึกแย่ๆนี้เกิดขึ้นในชีวิต
ตอนแรกผมกลับไปตอนที่เพื่อนไม่เลือกเข้าทีมฟุตบอล แต่พอครูอ้อยบอกให้กลับไปตอนแรกจริงๆ ผมเห็นตอนที่ผมไปรับคุณพ่อที่สนามบิน เพราะคุณพ่อไปอยู่กับเมียน้อยแล้วเราไม่ได้พบกันนานแล้ว

พอไปถึงผมนึกว่าท่านจะดีใจปรากฎว่าคุณพ่อด่าว่า ว่าแกอยากได้ของฝากละสิ ถึงได้มา คนอย่างแกน่ะไม่ควรได้อะไรดีๆหรอก

ผมเพิ่งเห็นว่าคำพูดนั้นฝังอยู่โดยผมไม่รู้ตัวแล้วมันทำให้ทุกครั้งที่ผมกำลังประสพความสำเร็จ บางอย่างในตัวผมก็ทำให้สิ่งดีๆหายไป วันนี้ผมเข้าใจแล้วว่าเป็นเพราะส่วนลึกของผม เชื่อสิ่งที่พ่อพูดโดยไม่รู้ตัวว่าผมไม่คู่ควรกับอะไรที่ดีๆ

พอครูอ้อยให้กลับไปที่จุดเริ่มต้นเอาความเข้าใจ ความกล้าหาญ และอะไรๆที่เรามีตอนนี้กลับไปช่วยเด็กน้อยที่บริสุทธิ์คนนั้น ผมเอาความเข้าใจครับ แจ้งเลยครับ พ่อผมแค่รู้สึกผิดที่ไม่ได้ซื้อของมาฝากผมท่านเลยพูดอย่างนั้น พวกพ่อแม่ไม่รู้ว่าขณะที่ดุให้ลูกสะดุ้งทกคำที่พูดต่อ มันไหลลงไปบันทึกในจิตใต้สำนึกลูกทั้งหมด

พอครูอ้อยให้เปิดเหตุการณ์ภายหลังที่มีความเชื่อมโยงกับความเข้าใจผิดครั้งแรกนั้น ภาพเหตุการ์ณหลังจากนั้น นับร้อยภาพวิ่งผ่านหัว ทุกเรื่องเป็นเรื่องเดียวกันหมด เข้าใจได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที

มันเหมือนผมเข้าใจตัวเองอย่างสมบูรณ์ เข้าใจพ่อยอมรับพ่อและตัวเอง

พอจบด้วยการขยายความสุขแม้เพียงน้อยนิดที่เรามี เอามาเป็นหัวเชื้อความสุข ขยายมันในทุกประสาทสัมผัส จนมันท่วมท้น เอ่อล้น หล่อเลี้ยงหัวใจ มีพลังไปดูแลชีวิต ทำสิ่งดีงามที่เราควรทำ ผมเห็นเลยว่าทุกอย่างในชีวิต ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราให้มันวิ่งในหัวสมองของเรา

ผมเคยแต่เปิดภาพแย่ๆ ความรู้สึกแย่ๆ เหมือนเปิดแผ่นซีดีห่วยๆในหัว จนชีวิตหดหู่ ล้มแล้วล้มอีก ผมสงสัยมานานแล้วว่าครูอ้อยและคนอื่นๆที่สามารถทำให้ทุกเรื่องกลายเป็นสิ่งดีงามมีประโยชน์ในชีวิตเขาทำอย่างไร

ที่ผ่านมาผมเป็นเหยื่อความคิดตัวเอง ผมเป็นเพียงผู้โดยสาร ไม่ใช่คนขับ แต่วันนี้เป็นต้นไป ทางเลือกอยู่ในมือผมเอง

อ้อ! แล้วผมจะจำไว้เสมอที่ครูอ้อยบอกว่า ความโกรธแค้นคนและสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต เหมือนเรานั่งกินยาเบื่อหนู แล้วหวังว่าหนูจะตาย

ขอบคุณครับ


ไม่มีความคิดเห็น: