เข็มทิศชีวิต: ความเห็นถูก
โดยฐิตินาถ ณ พัทลุง สถาบันตรัยยา behappycompass@gmail.com
พล(นามสมมุติ)เป็นนักธุรกิจหนุ่มที่มีคุณสมบัติพร้อม ทั้งฉลาด มีความรู้ความเข้าใจในงานที่ตนทำ นิสัยดี แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมตนถึงไม่ประสพความสำเร็จเสียที
พลไปพบที่ปรึกษาด้านจิตใจเลยระลึกได้ว่า ตอนที่ตัวเองเด็กมากๆ พ่อ ลืมไปรับที่โรงเรียน นั่งรอจนคำ่พ่อจึงนึกได้แล้วมารับ พอมาถึงพ่อเห็นลูกนั่งรออยู่มืดๆคงนึกสงสารลูกจับใจและรู้สึกผิดมากๆไม่รู้จะทำอย่างไรเลยดุว่าลูกเป็นการใหญ่
(อย่าแปลกใจที่เรามักจะพบว่ามีคนเยอะมากที่พอรู้สึกผิดแล้วกลับแสดงออกตรงกันข้ามกับความรู้สึกของตนเอง ตัวอย่างเช่น ผู้ชายบางคนกลับจากบ้านภรรยาน้อย พอมาเห็นภรรยาหลวง ทำงานเลี้ยงลูกหนัก ก็รู้สึกผิด เลยหาเรื่องบ่นว่าอารมณ์เสียเรื่องจุกจิกในบ้าน เพื่อหลีกเลียงที่จะรับผิดชอบต่อความรู้สึกของเธอ) แต่ตั้งแต่วันนั้นเด็กน้อยพล จำฝังใจว่าตนเองไม่มีดี ไม่มีความสามารถ ไม่เป็นที่ยอมรับแม้แต่จากพ่อของตนเอง
เขาโตมาด้วยมุมมองโลก มองเห็นตัวเองแบบนั้นโดยไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองแบกความรู้สึกไม่ได้รับการยอมรับมาตลอดเวลา จนเขาได้กลับไปเห็นตนเองมีชีวิตอยู่ในเหตุการณ์นั้นใหม่ เห็นความรู้สึกของพ่อเข้าใจพ่อ เข้าใจว่าเหตุการณ์นั้นและสิ่งที่พ่อทำไม่ได้เป็นการลดคุณค่าของตัวเขาลงแต่อย่างใด ยอมรับตัวเองได้เป็นครั้งแรก ไม่ต้องพยายามวิ่งพิสูจน์ตัวเองให้ประสพความสำเร็จ เป็นที่ยอมรับอย่างที่แล้วๆมา ที่ล้มเหลวเพราะทุกอย่างที่พยายามทำล้วนมาจากกรอบความคิดที่เป็นข้อจำกัดว่าตนเองไม่มีความสามารถ ไม่เป็นที่ยอมรับ เหมือนวนอยู่ในกะลายิ่งทำยิ่งแย่หาทางออกไม่เจอ
นักวิทยาศาสตร์ได้พบว่าเมื่อเราคิดอย่างไร ร่างกายจะหลั่งสารเคมีที่สอดคล้องกันออกมา เช่นเมื่อเราคิดว่าตนไม่มีค่า ร่างกายก็จะหลั่งสารเคมีบางอย่าง ใจรับรู้สิ่งที่เกิดในกาย ใจก็รู้สึกไม่มีค่าพอใจรู้สึก ร่างกายก็หลั่งสารเคมีให้รู้สึกไม่มีค่าเพิ่มออกมาอีก จากใจมาที่กาย จากกายมาที่ใจ จากใจกลับไปที่กายอีก ถ้าคนๆนั้นไม่หยุดวงจรนั้นเสียตรงจุดใดจุดหนึ่งก็ต้องมีชีวิตอยู่ในวงจรนั้นลึกขึ้น ลึกขึ้น ต่อไป
เราทุกคนสามารถฝึกฝนให้เป็นที่ปรึกษาด้านจิตใจตัวเอง โดยฝึกเป็นผู้สังเกตุตนเองที่ดีได้ เป็นผู้เฝ้าดูกาย เฝ้าดูใจ เฝ้าดูสิ่งที่เกิดในกายในใจ ซึ่งการเป็นผู้สังเกตุที่ดี ต้องมีกำลังของสมาธิ มีจิตใจที่มีคุณภาพพอ เราอาจจะใช้การตามรู้ลมหายใจ หรือบริกรรม คำว่าพุธโธ ในระหว่างวัน ร่วมกับเวลาพิเศษที่เราสามารถแบ่งให้กับตัวเองจากตารางเรื่องอื่นๆ
นักวิทยาศาสตร์ได้ผลพิสูจน์ว่าถ้าจะให้เราเรียนรู้อะไรได้ดีต้องทำคลื่นสมองให้ช้าลงจากระดับเบตาเป็นอัลฟา แต่ในการเกิดญาณปัญญาความเข้าใจในระดับจิตใต้สำนึกที่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมมนุษย์ได้ เกิดในระดับคลื่นสมองที่ช้าลงอีกคือธีตาซึ่งเป็นระดับคลื่นสมองที่พบในขณะทำสมาธิ เราจะพบว่าสิ่งที่เราอ่านเจอหรือข้อคิดต่างๆมีผลต่อเราในระดับจิตสำนึกซึ่งเป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆในใจเราเท่านั้น
เคยสังเกตุไหมว่าเวลาเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นจริงๆ เรากลับไม่สามารถทำตามสิ่งที่เราตั้งใจว่าจะทำแต่มักโต้ตอบออกไปตามสัญชาติญาณ ตามกรอบความคิดที่ฝังลึกลงไปในตัวเรา เพราะเราไม่ได้เกิดความเข้าใจจนเกิดความเปลี่ยนแปลงในระดับจิตที่เป็นตัวเราทั้งหมดอย่างแท้จริง
ด้วยใจที่มีกำลังตั้งมั่นเป็นกลาง เราจะพบว่าทุกความรู้สึกทั้งในกายในใจ เป็นแค่เพียงเหมือนฟองอากาศที่ผุดขึ้นแล้วสลายไปทั้งนั้น ความคิดปรุงแต่งตีความในหัวเราผุดขึ้น ความรู้สึกในร่างกายผุดขึ้น การเห็นอย่างมีคุณภาพของใจที่มั่นคง สิ่งที่เกิดขึ้นในกายก็จบลงที่กาย ไม่ต่อเติมเพิ่มส่งไปที่ใจอีกต่อไป
ในชีวิตคนเราอาจมีเหตุการณ์บางอย่างที่กระทบกระเทือนความรู้สึก กระทบกรอบการมองโลกของเรา สิ่งที่เกิดขึ้นแท้จริงแล้วมันไม่ได้ดีหรือร้ายในตัวมันเอง อยู่ที่เราสามารถเห็นด้วยใจที่มั่นคง แล้วเรียนรู้เลือกความเห็นของเราให้ถูกต้องเป็นประโยชน์ ความเห็นถูกของเราเป็นตัวกำหนดคุณภาพชีวิตทั้งหมดของเรา ต้องเลือกอย่างรู้เท่าทัน ทำให้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นอุปกรณ์ในการเรียนรู้ที่ส่งชีวิตเราไปอยู่ในจุดที่พัฒนายิ่งๆขึ้นไปเสมอ
สิ่งที่คนอื่นทำบอกคุณค่าเขา ไม่ได้บอกคุณค่าเรา คุณค่าของเรา เรากำหนดเองจากสิ่งที่เราคิด เราเป็นภายในอย่างแท้จริง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น