จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2553

บรรยายทีบ้าน AF

เข็มทิศชีวิตธุรกิจ

เข็มทิศชีวิตธุรกิจ โดยฐิตินาถ ณ พัทลุง ผู้เชี่ยวชาญเรื่องจิตใต้สำนึกสถาบันตรัยยา โรงพยาบาลปิยะเวท

ถึงเข็มทิศชีวิต

ตอนนี้ธุรกิจไม่ดีเลยค่ะ โดนตัดราคาลูกค้าไม่ค่อยเข้าร้าน คิดมากนอนไม่หลับ พยามไม่คิดอยู่ค่ะ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะคิด กลัวว่าอีกหน่อยครอบครัวเราจะเป็นยังไง ร้านที่เปิดใหม่ล้วนแต่เงินทุนหนาๆ แต่เรามีทุนไม่มากพอที่จะแข่งกับเขาได้เลยค่ะ

แฟนก็บอกต้องปรับเปลี่ยนชีวิตเราเอง ใช่ค่ะแต่ห่วงแค่ลูกเท่านั้น ถ้าส่งเค้าเรียนที่นี่ไม่ไหวต้องย้ายไปโรงเรียนอื่นเค้าจะรู้สึกยังไง เพราะเค้าก็รักเพื่อนที่เรียนอยู่ด้วยกันแล้ว แม่บอกอยู่นิ่งๆไปก่อนอย่าเพิ่งทำอะไร เพราะถ้าลงทุนอะไรตอนนี้ถ้าเกิดเลวร้ายลงจะยิ่งแย่

ลืมบอกไปค่ะเปิดร้านเน็ตอยู่ค่ะ แต่ทำถูกต้องทุกอย่างนะคะ ไม่รับเด็กหนีเรียน จดลิขสิทธิ์ถูกต้องทุกอย่างแต่ต้องมาสู้กับร้านที่เค้ารับเด็กหนีเรียน เกินเวลาก็เปิดรับถ้าเด็กร้านไหนมาเล่นที่ร้านก็จะมีเด็กมาตามกลับไปเล่นที่ร้านเค้าค่ะ

ทำไมคะเราก็ทำความดีเป็นคนดีแต่ทำไมไม่เห็นได้ดีเลย ร้านที่ไม่ดีกลับเจริญรุดหน้าขยายกิจการได้ดีทีเดียว คิดแล้วก็อดน้อยใจไม่ได้จริงๆค่ะ ขอบคุณที่รับอ่านนะคะ อย่างน้อยก็ได้ระบายบ้างแล้วค่ะ ขอให้คุณฐิตินาถมีความสุขกายสบายใจนะคะ ขอบคุณที่เขียนหนังสือมาช่วยจรรโลงใจให้รู้สึกดีบ้างเวลาแย่ๆนะคะ
                                                                                                                                                                                                        ขอบคุณจริงๆค่ะ
                              
สวัสดีค่ะ
 โลกกำลังบอกคุณว่าถ้าหากเราแค่เปิดธุรกิจตามกระแส โดยไม่เอาความสามารถที่แท้จริงของเราออกมาใช้เรากำลังละเลยศักยภาพที่เรามีและลดโอกาสในการพัฒนาตัวเราเอง

โลกหวังดีจึงช่วยเตือนด้วยการแสดงให้เราเห็นว่าถ้าเราใช้ชีวิตและ ทำงานแบบทำตามๆกันไปจะทำให้เราแข่งขันไม่ได้ เพราะเราไม่ได้ดึงจุดเด่นที่เรามีออกมาสร้างความแตกต่างให้ตัวเองมีคุณค่า

แม้เรื่องความรักหากคนๆหนึ่งไม่ทำให้ตัวเองมีคุณค่า เขาจะหาความรักที่แท้จริงอย่างไรก็ไม่เจอ แต่ทันทีที่คุณมีคุณค่ามีศรัทธา จนนับถือและรักตัวเองได้ คนรัก เพื่อนรัก ความรักที่ดีงามจึงสามารถปรากฏขึ้นในชีวิตได้ เพราะก่อนหน้านี้หากเราไม่รู้สึกถึงสิ่งใดในตัวเองแม้สิ่งนั้นมาปรากฏตรงหน้าเราก็มองไม่เห็นหรือเห็นก็ไม่สามารถรักษาไว้ได้

เรื่องต่างๆในชีวิตเป็นแบบนี้ เราทุกคนมีสิ่งที่ดีที่สุดอยู่ในตัวเราเอง หน้าที่ของเราคือดึงมันออกมาใช้ทำประโยชน์ให้ผู้อื่นให้โลกนี้มีความสุขขึ้น ในขณะเดียวกันเราก็ได้ขัดเกลาฝึกฝนตัวเราเอง ทำให้เรามีความสุข มีพลัง เต็มอิ่มได้ด้วยตัวเองก่อนแล้วความสำเร็จก็เป็นของที่มาคู่กัน คนมีความสุขพึงพอใจในชีวิตก็ประสพความสำเร็จเท่าที่เขากำหนดให้ชีวิตตัวเอง

มนุษย์ไม่ได้ทำงานเพื่อเลี้ยงกายเท่านั้นเราทำสิ่งต่างๆเพื่อหล่อเลี้ยงใจเรา หากเมื่อไรที่เราลืมหล่อเลี้ยงใจตัวเองให้ชุ่มชื่นจากการดำรงชีวิตที่มีประโยชน์มีคุณค่า ชีวิตจะแห้งแล้งจนใช้วัตถุ หรือความรักจากคนรักเติมเท่าไรก็ไม่เต็ม


ง่ายๆแค่นี้เอง

ปีใหม่นี้ไม่ว่าอะไรเข้ามาในชีวิตให้เห็นสิ่งนั้นเป็นของขวัญให้คุณได้พัฒนาตัวเอง ยกระดับชีวิตตัวเองไปสู่การทำประโยชน์ได้กว้างไกลยิ่งใหญ่ขึ้น

ดิฉันมักจะให้คนลองเดินไปในอนาคต ว่าตอนที่ผ่านเรื่องนี้ไปได้ด้วยดี
เขาใช้คุณสมบัติใช้ความเข้าใจตัวไหนจึงผ่านเรื่องนี้ไปได้อย่างสมบูรณ์ แล้วเอาความรู้ความเข้าใจที่มีในอนาคตนั้นมาใช้ประโยชน์ตอนนี้เลย


สิ่งที่เราได้รับจากโลกเป็นสิ่งที่พอเหมาะพอดีกับการเรียนรู้และเติบโตของเราในเวลานั้นเสมอ

ถึงเวลามองหาสิ่งที่ดี่ที่สุดในตัวเองเอาออกมาใช้ทำประโยชน์ให้โลกแล้วโลกจะตอบแทนเรา
เท่าที่เราคู่ควร









เข็มทิศจิตใต้สำนึก

เข็มทิศชีวิต: จิตใต้สำนึก
โดย ฐิตินาถ ณ พัทลุง behappycompass@gmail.com
ใครคิดว่าตัวเอง ไม่เก่งเรื่อง ศิลปะ บ้าง
ใครคิดว่าตัวเองไม่มีหัวทางดนตรี หรือ คำนวณ บ้าง
ทำไมถึงคิดอย่างนั้น หลายคนตอบว่า ครูบอก ตอนอยู่ประถมหรือบางคนพ่อแม่สอนการบ้านแล้วโมโห ตะโกนใส่หน้าลูกว่าทำไมลูกโง่จริงๆ

ตอนนี้พอคุณเป็นพ่อแม่คุณก็รู้ว่าพ่อแม่ก็ไม่ได้รู้หรอกว่าตัวเองพูดอะไร บางครั้งพ่อแม่ไม่รู้จะจัดการกับชีวิตตัวเองยังไง จนเหนื่อยเกินไปแล้วก็มาอารมณ์หงุดหงิดฉุนเฉียวใส่ลูกโดยไม่จำเป็น หรือเอาปมด้อยที่ตัวเองทำไม่ได้หรือไม่เคยกล้าทำมาใส่ให้ลูกทำให้ได้ พอคุณมองกลับไปดูด้วยความเข้าใจโลกมากขึ้นอย่างที่คุณมีตอนนี้ คุณจะรักพ่อแม่อย่างที่ท่านเป็น เข้าใจท่านมากขึ้นและเอาขยะที่ไม่จริงออกไปจากหัวตัวเองง่ายขึ้น
ชายคนหนึ่งป่วยโดยไม่มีสาเหตุหมอไม่รู้ว่าจะรักษาตรงไหนเพราะปกติดีทุกอย่างแต่เจ็บปวดไปทั้งตัว ปรากฎว่าตอนทำวิทยานิพนธ์เคยป่วย ตั้งแต่นั้นโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ตัว จิตใต้สำนึกเรียนรู้ที่จะป่วยในเวลาที่ไม่ต้องการส่งมอบผลงานในชีวิต ไม่ต้องรับผิดชอบทั้งชีวิตตัวเองและคนอื่น แต่เจ้าตัวไม่รู้เสียเงินรักษาหมอทั่วโลกก็ไม่หายเสียที จนต้องทำให้จิตใต้สำนึกยอมรับประโยชน์ที่ได้มากกว่าและมีความสุขกว่าหากแข็งแรง จึงยอมให้ร่างกายแข็งแรงได้
ถ้าลองมองดูดีๆ พ่อแม่ก็มีพลาดกับลูกบ้าง เราเองก็เอาประสพการณ์แบบที่เราเคยชินมาใช้บ้าง หรือ ครูที่พูดไม่ดีเหล่านั้นก็ไม่ได้เป็นนักวิจารณ์ศิลปะ ดนตรี หรือนักคณิตศาสตร์ระดับโลกสักหน่อย ไอน์สไตน์ยังเคยถูกตัดสินว่าเป็นเด็กเรียนรู้ไม่ได้เลย

ฉันในฐานะที่เขียนหนังสือเข็มทิศชีวิต ซึ่งวันนี้มาถึงเล่มที่สามแล้ว คนซื้อไปอ่านรวมกันเกินล้านเล่ม เคยถูกครูประถม นอกจากวิจารณ์งานเขียนเรียงความฉันแล้ว ยังให้สี่เต็มสิบอีกต่างหาก โทษฐานที่ไม่ขึ้นต้น ลงท้ายตามกรอบที่ครูบอก ถ้าฉันเก็บสิ่งที่ครูพูดไว้ในหัววันนี้ก็ไม่มีหนังสือเข็มทิศชีวิต ไม่นับที่ครูจะให้ฉันแทบไม่ผ่านเรื่องการพูดต่อหน้าคนpublic speakingเพียงเพราะฉันไม่ยอมนั่งพูดอยู่เฉยๆ แต่เดินไปมา
มีคนมากมายที่จะทำบางอย่างทั้งโดยเจตนาและไม่เจตนาที่อาจทำให้คุณรู้สึกไม่ดี ประเด็นก็คือทำไม บางคนรับ บางคนแบกขยะไว้ไม่ยอมเท บางคนก็ไม่รับขยะเข้ามา เพราะเขาเลือกกำหนดชีวิตตัวเอง

สิ่งที่น่าแปลกใจคือเราเปลี่ยนรุ่นโทรศัพท์มือถือ เปลี่ยนรุ่นคอมพิวเตอร์ ซอฟแวร์ระบบปฎิบัติการต่างๆในคอมพิวเตอร์ของเรา เราก็ต้องปรับให้ใช้งานได้ดี พร้อมตรวจไวรัสตรวจสิ่งแปลกปลอมอยู่ตลอดเวลา

แต่ระบบปฎิบัติการที่อยูในหัวเรานี่สิ เราเคยตรวจสอบบ้างหรือเปล่าหรือปล่อยให้เป็นแบบออโต้ไพล็อต ขับเคลื่อนอัตโนมัติตามความเคยชินเดิมๆ แล้วมาสงสัยว่าทำไมบางอย่างในชีวิตไม่เวิร์ค ไม่เห็นทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตพาเราไปอยู่ในจุดที่ดีที่สุดในการเรียนรู้ของเราเสมอ แบบที่เข็มทิศว่า ก็เพราะบางคนยังใช้สิ่งที่ พ่อ แม่ ครูบอก หรือ ความรู้สึกตั้งแต่อายุไม่กี่ขวบ มาใช้เป็นกรอบในการมองโลกมองชีวิตและตอบสนองต่อสิ่งต่างๆในชีวิตอยู่เลย
ฉันศึกษาและทำงานเรื่องนี้ร่วมกับหมอต่างชาติมาหลายปีเงียบๆเพราะคิดว่าคนไทยคงไม่สนใจ เพราะคนไทยเรามีความเข้าใจสูงกว่านั้นและนี่เป็นเพียงเรื่องแค่การบริหารจัดการจิตใต้สำนึกในการใช้ชีวิตประจำวันเท่านั้น เหมือนเราบริหารสต็อค บริหารบัญชีการเงิน แต่ปรากฎว่าในปัจจุบันมีคนมาขอคำแนะนำยาวจนต้องรับเฉพาะกรณีที่แพทย์แนะนำมาเท่านั้น เลยฝึกสอนเพิ่มจนสถาบันที่อเมริกาให้ไลเซนต์ให้ฉันจัดอบรมคนเพื่อทำงานช่วยเหลือคนด้านนี้ได้ โดยคนเรียนได้ใบรับรองตรงจากสถาบันของอเมริกา คนไทยที่เรียนจะได้ออกไปทำงานเรื่องนี้ได้เพราะเป็นมาตราฐานเดียวกันทั่วโลก
คุณสามารถตรวจสอบ ปรับเปลี่ยนระบบปฎิบัติการที่คุณใช้ขับเคลื่อนชีวิตตัวเอง ถ้าความเชื่อนี้ ภาพความทรงจำนี้ ความรู้สึกนี้ มุมมองโลกแบบนี้ มันเป็นโทษ ไม่เป็นประโยชน์ต่อชีวิตคุณและคนอื่น จำกัดความก้าวหน้าในชีวิตคุณคุณก็แค่ เก็บสิ่งที่คุณได้เรียนรู้ขึ้นมาใว้ในใจ จะได้ไม่ต้องกลับไปเรียนเรื่องเดิมอีก แล้วปิดสวิชต์มันทิ้งไป แล้วเลือกใช้มุมมองความเชื่อกรอบการมองโลกอันใหม่ที่ใช้งานได้ดีเป็นประโยชน์ต่อชีวิตตนเองและคนอื่น
จำไว้เสมอว่า นี่ชีวิตคุณ คุณจะเลือกเป็นเพียงแค่ผู้โดยสารในรถแห่งชีวิตตัวเองโดยปล่อยให้คนอื่นเลือกให้ว่าคุณควรคิดอย่างไรต่อชีวิต แล้วสิ่งที่คุณคิดมันก็กำหนดสิ่งที่คนอื่นปฏิบัติต่อคุณ กำหนดสิ่งที่คุณจะได้รับในชีวิตตัวเองอีกต่างหาก
หรือ จะเลือกเป็นคนกำหนด เป็นคนขับ ชีวิตของตนเอง
ทางเลือกอยู่ในมือคุณเสมอ

เข็มทิศชีวิตที่พึ่งภายใน

เข็มทิศชีวิต : ที่พึ่งภายใน

เขียนต้นฉบับไปหลายเรื่อง จนในที่สุดต้องบอกตัวเองว่ายังไงท่านผู้อ่านก็จะหาข้อความระหว่างบรรทัดเชื่อมโยงไปยังเรื่องราวที่เป็นข่าวหน้าหนึ่งมาตลอดสองสัปดาห์อยู่ดี ก็เขียนกันตรงๆเสียเลย เพราะผู้อ่านคอลัมภ์นี้รักการเรียนรู้ และมองเห็นสิ่งดีงามในทุกๆอย่างมาปรับใช้ในชีวิตตนเองได้เสมออยู่แล้ว
ดิฉันพบว่าชีวิตจะส่งของขวัญมาพอเหมาะพอเจาะพอดีกับความสามารถของเราที่จะเรียนรู้และเติบโตเสมอ เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วตอนที่เจอเรื่องหนี้ก็เพื่อให้เราได้มาพบธรรมะ ได้เห็นว่าไม่มีอะไรเลยเราก็มีความสุขได้จากภายในตัวเราเองก่อน ทันทีที่เรามีความสุขได้จากภายในตัวเอง มีสติ มีปัญญา การแก้ปัญหาต่างๆก็เป็นเรื่องง่าย กลายเป็นว่าความท้าทายที่เข้ามาช่วงเวลาสั้นๆกลับทำให้เรามีทรัพย์ภายใน ที่ทำให้ชีวิตเรามั่นคงทั้ง ภายนอกและภายในได้ทำประโยชน์ให้ผู้อื่นและตนเอง
ชีวิตจะหาวิธีส่งบทเรียนใหม่ๆมาให้เราเสมอ แต่ทุกเรื่องในชีวิตสิ่งแรกที่ได้คือ ให้เรารู้ว่านี่ไงล่ะคนอื่นมาทำอะไรไม่ดีในชีวิตเราก็เพื่อให้เราซาบซึ้งใจกับพ่อแม่ ว่าความรักของพ่อแม่นั้นยิ่งใหญ่นัก อะไรที่พ่อแม่อาจพลาดพลั้งบ้างก็เล็กน้อยนักถ้าเทียบกับที่คนอื่นทำกับเรา ต้องขอบคุณคนที่ทำไม่ดีกับเราเพราะเขาอุตส่าห์เอาตัวเองเป็นอุปกรณ์เพื่อให้เรารักพ่อแม่มากขึ้น
ทุกบทเรียนในชีวิต ต้องการให้เราเกิดความเข้าใจจนซาบซึ้งว่าเป็นความหวังดีของชีวิต จนสามารถขอบคุณสิ่งที่เกิดขึ้นได้ว่าเข้ามาเพียงเพื่อให้เราเกิดความเข้าใจในผู้คนและตนเองอย่างลึกซึ้งแล้วชีวิตเราจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดเสมอ เหมือนต้นไม้ที่ออกดอกในหน้าแล้งยามขาดนำ้ แล้วเติบโตขยายพันธ์ุกว้างไกล
สองการมีศรัทธาเป็นสิ่งสำคัญ แต่ศรัทธาในตัวเองสำคัญที่สุด นี่คือเหตุผลว่าทำไมคนเราถึงต้องทำความดี เพราะในเวลาหนึ่งที่อาจไม่มีใครเชื่อเราเลย อย่างน้อยมีเราคนนึงล่ะ ที่เชื่อและภูมิใจในตัวเราเอง การหันกลับไปมองข้างหลังแล้วรู้ว่าเราทำความดีงามอะไรมา และมองไปข้างหน้ารู้ว่าเรามีชีวิตอย่างมีวัตถุประสงค์เพื่อขัดเกลาตัวเราเอง ทำให้เราชัดเจนว่าเราจะเลือกทำอะไรและเลือกไม่ทำอะไร ทำให้เราเข้มแข็งกับสิ่งที่เจอตรงหน้าอย่างกล้าหาญ ด้วยความรู้อย่างเต็มเปี่ยมว่า แล้วในที่สุด ตั้งแต่วันที่สิ่งนี้เกิดจนถึงวันที่จบลง มันให้ประโยชน์กับเราอย่างล้นเหลือยอดเยี่ยมก่อนใคร
สาม สิ่งที่กีดขวางในชีวิตคนมากกว่าอุปสรรคและความท้าทายคือการซ่อนตัวอยูในมุมสบายของตัวเอง หลายคนบอกตัวเองว่าแบบนี้ก็ดีแล้วแต่ชีวิตขาดพลังลงไปทุกวันเพราะแทนที่จะลงมือทำสิ่งที่ต้องทำกลับเอาพลังไปทำเรื่องที่แค่ย้ายความสนใจไปได้เพียงชั่วคราว
หลอกตัวเองว่าปล่อยวางแต่ที่จริงแล้วกลัวที่จะบ่งฝีในชีวิตของตัวเอง เลยไปยุ่งเรื่องคนอื่นหรือทำสิ่งที่ไม่สำคัญในชีวิตจนหมดพลังซังกะตายไปเรื่อยๆ แทนที่จะค่อยๆทำให้ตัวเองเข้มแข็งเตรียมความพร้อม จนจิตใจมั่นคงในการลงมือทำสิ่งที่ควรทำ ก้าวข้ามความกลัวความยากลำบากที่อาจต้องเจอบ้างระหว่างทาง
คนที่หวั่นไหว ยามคนชมก็ลอยคนติก็จม เพราะไม่รู้ชัดว่าตัวเองเป็นใครต้องรอให้คนอื่นมาบอก แต่เมื่อเราหมั่นตรวจสอบขัดเกลาตัวเองอยู่เสมอ เราจะรู้ชัดว่าข้างในนี้เป็นใคร ทำอะไรอยู่และต้องทำอย่างไรจึงประสพผลสำเร็จเป็นประโยชน์ต่อมหาชน และตนเอง
ทันทีที่เรากล้าหาญเผชิญหน้ากับสิ่งที่อยูในใจตัวเองจนรู้ชัดว่าเราจริงกับตัวเอง จนสามารถทำในสิ่งที่ถูกต้องและควรทำได้ เราจะรู้สึกถึงพลังมหาศาลของศักยภาพในตัวเอง เพราะการปรากฎขึ้นของความท้าทายในชีวิตก็เพื่อให้เราได้ค้นพบศักยภาพสูงสุดของความเป็นมนุษย์ในการเรียนรู้เข้าใจ มีความสามารถที่จะรัก ศรัทธา มั่นคงได้ในทุกสถาณะการณ์
ในที่สุดแล้วไม่ว่าจะลงมือทำอะไร ต้องเห็นประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่กว่าของตัวเราเองเสมอ เห็นเราในเขาเห็นเขาในเรา มันเป็นเรื่องง่ายมากเหมือนเวลาที่นักกีฬาลงสนาม เราอาจจมลงไปในสิ่งที่อยู่ตรงหน้า คิดว่าอีกฝ่ายเป็นคู่ต่อสู้จนลืมไปว่ามันไม่ใช่การเอาชนะกันและกัน แต่เป็นเรื่องของการเรียนรู้เพื่อประโยชน์ในระยะยาวในชีวิตของทุกฝ่าย จึงต้องจำให้ได้เสมอที่จะรักษาความปรารถนาดีให้เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงขับเคลื่อนการกระทำ เพราะชีวิตปรารถนาดีที่สุดกับเราส่งสิ่งที่ดีที่สุดมาให้เราเสมอ
เพียงมองให้ลึกซึ้งพอ


























life compass book chapter 1


Life COMPASS [working title for English translation of Khemthit Chiiwit] by Dhidinad Na Phatalung


PART I: STOP A MOMENT…and REFLECT

Stop a moment…and reflect

Draw in a deep breath…release it slowly;
take sense of your heart-and-mind;
ask yourself, is this heart-and-mind becoming weary?

We sense our hearts-and-minds reach out and cling to the letters on this page--but not so easily do we sense bare thoughts and feelings in our hearts-and-minds. Our hearts-and-minds, our jai, roam unaware entangling themselves non-stop with the myriad matters and objects that surround us. And, just as our jai start to become weary and irresolute, even so will our jai wind themselves back up in order to continue the moving, looking, listening, and thinking we have been doing all along. We are each stuck in our own living pattern.

Our hearts-and-minds miss in their attempts to address problems. They head unblinkingly in the wrong direction. We are under strain not just today but our whole lives as we compel ourselves daily to be on the go morning till night. Like rollercoasters our hearts-and-minds rise, fall, and sway sharply from side-to-side. We’re smiling one moment, irritated the next, content one moment, suffering the next, and so on; our hearts-and-minds oscillate endlessly.

Many of us drain ourselves this way from the day we are born to the day we die. Unless we actually understand certain life-truths--unless we understand the process of building within ourselves a firm, long-lasting happiness--any life goals we set will be in error. We will lead ourselves astray, like someone traveling to a new land without map, compass, or guide. And we all do this, one after the other, until our last days, even while witnessing our fellow humans in front of us stumble, fall down, and lose their way… How many of us will actually fulfill those goals we so lovingly formed for ourselves?

This book’s purpose is to help us discover those truths and use them to empower ourselves to lead full, invigorating lives.





The wise grandma

There once lived an old lady whose two grandsons had recently moved in with her. Every night after work the two young men went out to enjoy themselves, at the mall, the bar, the movie theatre, a ballgame, leaving their grandmother alone at home. When the grandmother told them they should stop going out so much, her grandsons both retorted that they work hard every day and deserve to go out and enjoy themselves.

Late one night the two returned from a pleasurable evening to find their grandmother walking around in front of the house, stopping now and then to bend over and look closely at the ground. She had lost her sewing needle, she told them.

Where exactly do you think you dropped it, Grandma? We’ll help you find it right away!”
I dropped it somewhere around my bed,” Grandma quickly answered.

Huh? And then you came here in front of the house to find your needle, Grandma?” they asked, incredulous.

Well, this area is well-lit by the street light. It’s the easiest place to search for my needle,” Grandma explained.

At that, both grandsons fell to the ground and rolled in laughter. “Grandma, dear, how did you become so confused? The needle fell in your bedroom, yet you come look for it out here under this street light!”

Grandma straightaway replied, “My dear boys, and why won’t I find it? It’s just like you two. You lose your sense of happiness, and then you go looking for it by going out every night, to the bar, the theatre, a ballgame, the mall, a restaurant…”


The source of the fire

Have you ever observed the driving force within our jai, the force that drives us to make a phone call, turn on the television, go out, open the refrigerator, think a certain thought? The force which can cause feelings of discouragement, of weariness with someone or something, of painful anxiety? This ever-present--but not necessarily overwhelming--restlessness in our mind-hearts is the driving force behind all we say, think, and do.

When we were infants this driving force within our jai pushed each of us to get our milk bottle somehow, to be picked up and carried, to get hold of a certain toy--to get whatever we needed to feel secure and comfortable.

As we grow older these impulses change accordingly. Substitute a Harley-Davidson or latest model cell phone for a toy doll, for example. Also, we rush to make money, build a home, buy a car, accrue power and standing among our peers. We seek desperately for love and companionship. Why do we do these things? We do them because we believe we’ll be happier. But happiness, whatever kind, never stays long. Moodiness, stress, anxiety, confusion come right back. No matter what we look for, or how much of it we look for, we will never fill the gaps in our jai.

We run around looking for people or objects or activities to say or do something that fits in with our needs and wants. If that doesn’t happen, tension grips us--it’s almost as if our entire lives were dependent on that one person, object, or activity meeting our needs. Our mind-hearts race up and down with each event in our lives. We are totally led by what is outside of us.

What should we do? Must we continue to “wing it”, pretending it’s simply a matter of adjusting our emotions? We’ll never be full, not until we observe ourselves closely and come to understand that the source of this fire that flares up and consumes our jai is a much smaller fire within our jai.

Can we learn to tend this smaller fire?


Why are we born?

Buddhists have believed for over 2500 years that humans are born in order to better themselves through the practice of internal self-development. Recent currents of Western psychological thought such as emotional intelligence are therefore hardly new. Their central message--for us to develop awareness of all that our eyes, ears, noses, tongues, bodies, and jai encounter and to learn how to manage our reactions to each sensation—has long been sermonized in Buddhist scriptures and practiced by Buddhist monks and laity. Nonetheless it looks like many of us in the East do nothing but wait for the West to re-introduce knowledge that had been in the East for millennia!

The pity with these learned texts is that they will never help us change our lives. The knowledge they present reaches our brains—but goes no further. Their words cannot change our behavior because they do not penetrate to our entire jai, our entire hearts-minds-and-spirits. Then and only then will we actually attempt to stop the flow of our lives…reflect…and begin the serious work of understanding our jai.

We humans are born to better ourselves through the practice of internal self-development. We are capable of sensing ourselves--of developing self-awareness. We are capable of deciding how to act whether in thought, speech, and/or action--of developing self-control. And we are capable of doing this all through a wisdom completely whole and completely free from external influences. We are quite different from animals that only act from raw instinct. What is pitiable, then, is that during our infancy we receive training only in matters like how to eat, speak, and walk on our own. And, while of school age, our training focuses on reading, writing, and other skill/knowledge sets connected to our getting a job or career and being able to make money on our own.

We do not, however, receive direct training on how to develop our inner human potential. Our life curriculum does not include drills on how to keep our jai free from the control of instinct and of mindless habit. We do not learn how to self-cultivate happiness in ourselves. We generally grow up just doing what everyone else is doing without really considering: what am I doing, why am I doing it this way, why am I doing it? We hurry along never stopping long enough to reflect, competing with each other at school and then later at work where we ponder: who makes more money? And we feel the pressure to marry and have children by a certain age. But we do not hurry, intentionally, to grow old, get sick, or die. Too late it suddenly hits us in our lives that we must grow old, become sick--and soon no longer exist.

And so in the life of one person inexorably racing through life towards her death never stopping long enough to consider: Is there more than making money to this life? Is there more to life than raising a family, performing some good deeds, committing a few bad ones, laughing and crying, happiness and suffering—and then dying? This rat race we live in only because it’s what everyone else is doing, is this right, is this good enough? Can this path truly bring us toward a firm happiness of body, mind, and spirit, the kind of happiness all humans have dreamt of?



The flies

The English Buddhist monk Chayasahro, student of LuangBu Chaa Suphattho and former head of the International Forest Monastery in northeastern Thailand, once described a picture he had seen posted somewhere. There was this cute, chubby, little boy, sitting at a table about to spoon up with gusto his bowl’s contents; the bowl, however, is filled with vomit and swarmed by flies. The caption below this image read “Several millions of flies on this earth, how can all of them make the same mistake?”

The truth illustrated here is that we, like the flies in the swarm, instinctively follow each other’s behavior as we hurtle through our span of time on earth, no matter how harmful or unbeneficial it may be. Just because everybody is doing the same thing the same way does not mean it is always right or good.

This very second, stop and reflect on how we have been carrying on our lives. Are we certain that this way of living by keeping in step with each other will lead us toward that deep, permanent joy we’ve long dreamed of? Should we push self-development to the wayside in order to focus on making money and being a part of society, on being acceptable, even though we know that no matter how much we put our hearts into something, everything in life--family, work, possessions, romance, social standing--is capable of shifting or changing within the blink of an eye--always. Nothing external is ever firmly with us.

Our lives are our lives. Each one of us must make the opportunity to choose the path of our own life with complete awareness and in full confidence that this is what I want to do and this is the way I shall do it. And when we live the way we set ourselves out to live we do so knowing and feeling with calm certainty that this path I have set for myself is leading me toward my most essential life-goals.


































In Thailand, the heart and the mind are generally conceived as one entity, not two clearly separate ones as in general Western thought; in Thai, jai, jit,and jit-jai are used interchangeably to mean “heart, mind, and spirit”.
Thai Buddhist monk known for his strict practice of the dhamma; northeastern Thailand is generally known for its forest monasteries and strict dhamma practice.










Exercise your inner compass:
Try observing in your mind-heart the arising of a thought, what it leads you to do, and why…

Half our life is spent trying to find something to do with the time we have rushed through life trying to save.
Will Rogers

About the time one learns to make the most of life, most of it is gone.
Anonymous

Exercise your inner compass:

Before continuing this journey, let each one of us stop…and reflect: all my life what have I been doing—and why? Try writing down your observations; they may look something like this…
Endlessly fixating on increasing the amount of money in my bank account in order to attain a feeling of security—though the stress never lessens
Elbowing my way through my career hoping that when I reach number one I’ll attain personal contentment—but success seems to move further away each time I move closer
Working from dawn till dusk in order for my family to live comfortably and securely—but hardly finding the time and energy to enjoy myself with my family
Enjoying myself in every possible way to keep my spirits elevated—but then feeling even more empty, downhearted, and apprehensive
Stop…and reflect one random second in your day: what am I doing—and why?
Conversing with friends on the cell phone or watching TV because I cannot decide on what to do, because I’m feeling lonely, or because I just cannot keep still
Moving from one spot to another because I’m listless, snacking because I’m bored or lonely, talking with someone because I don’t know anything else better to do
Criticizing others in order to make myself feel better than them
Looking for something to do all the time in order to make myself feel useful and valuable—while becoming more weary, more irritable, and more depleted

Watch over and observe closely each moment over a period of time: What am I about to do—and why? Follow your emotions…look into your ever-changing heart-and-mind and, patiently, sense the driving force at work within.



เข็มทิศชีวิต : ที่พึ่งภายใน

เขียนต้นฉบับไปหลายเรื่อง จนในที่สุดต้องบอกตัวเองว่ายังไงท่านผู้อ่านก็จะหาข้อความระหว่างบรรทัดเชื่อมโยงไปยังเรื่องราวที่เป็นข่าวหน้าหนึ่งมาตลอดสองสัปดาห์อยู่ดี ก็เขียนกันตรงๆเสียเลย เพราะผู้อ่านคอลัมภ์นี้รักการเรียนรู้ และมองเห็นสิ่งดีงามในทุกๆอย่างมาปรับใช้ในชีวิตตนเองได้เสมออยู่แล้ว
ดิฉันพบว่าชีวิตจะส่งของขวัญมาพอเหมาะพอเจาะพอดีกับความสามารถของเราที่จะเรียนรู้และเติบโตเสมอ เมื่อสิบกว่าปีที่แล้วตอนที่เจอเรื่องหนี้ก็เพื่อให้เราได้มาพบธรรมะ ได้เห็นว่าไม่มีอะไรเลยเราก็มีความสุขได้จากภายในตัวเราเองก่อน ทันทีที่เรามีความสุขได้จากภายในตัวเอง มีสติ มีปัญญา การแก้ปัญหาต่างๆก็เป็นเรื่องง่าย กลายเป็นว่าความท้าทายที่เข้ามาช่วงเวลาสั้นๆกลับทำให้เรามีทรัพย์ภายใน ที่ทำให้ชีวิตเรามั่นคงทั้ง ภายนอกและภายในได้ทำประโยชน์ให้ผู้อื่นและตนเอง
ชีวิตจะหาวิธีส่งบทเรียนใหม่ๆมาให้เราเสมอ แต่ทุกเรื่องในชีวิตสิ่งแรกที่ได้คือ ให้เรารู้ว่านี่ไงล่ะคนอื่นมาทำอะไรไม่ดีในชีวิตเราก็เพื่อให้เราซาบซึ้งใจกับพ่อแม่ ว่าความรักของพ่อแม่นั้นยิ่งใหญ่นัก อะไรที่พ่อแม่อาจพลาดพลั้งบ้างก็เล็กน้อยนักถ้าเทียบกับที่คนอื่นทำกับเรา ต้องขอบคุณคนที่ทำไม่ดีกับเราเพราะเขาอุตส่าห์เอาตัวเองเป็นอุปกรณ์เพื่อให้เรารักพ่อแม่มากขึ้น
ทุกบทเรียนในชีวิต ต้องการให้เราเกิดความเข้าใจจนซาบซึ้งว่าเป็นความหวังดีของชีวิต จนสามารถขอบคุณสิ่งที่เกิดขึ้นได้ว่าเข้ามาเพียงเพื่อให้เราเกิดความเข้าใจในผู้คนและตนเองอย่างลึกซึ้งแล้วชีวิตเราจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดเสมอ เหมือนต้นไม้ที่ออกดอกในหน้าแล้งยามขาดนำ้ แล้วเติบโตขยายพันธ์ุกว้างไกล
สองการมีศรัทธาเป็นสิ่งสำคัญ แต่ศรัทธาในตัวเองสำคัญที่สุด นี่คือเหตุผลว่าทำไมคนเราถึงต้องทำความดี เพราะในเวลาหนึ่งที่อาจไม่มีใครเชื่อเราเลย อย่างน้อยมีเราคนนึงล่ะ ที่เชื่อและภูมิใจในตัวเราเอง การหันกลับไปมองข้างหลังแล้วรู้ว่าเราทำความดีงามอะไรมา และมองไปข้างหน้ารู้ว่าเรามีชีวิตอย่างมีวัตถุประสงค์เพื่อขัดเกลาตัวเราเอง ทำให้เราชัดเจนว่าเราจะเลือกทำอะไรและเลือกไม่ทำอะไร ทำให้เราเข้มแข็งกับสิ่งที่เจอตรงหน้าอย่างกล้าหาญ ด้วยความรู้อย่างเต็มเปี่ยมว่า แล้วในที่สุด ตั้งแต่วันที่สิ่งนี้เกิดจนถึงวันที่จบลง มันให้ประโยชน์กับเราอย่างล้นเหลือยอดเยี่ยมก่อนใคร
สาม สิ่งที่กีดขวางในชีวิตคนมากกว่าอุปสรรคและความท้าทายคือการซ่อนตัวอยูในมุมสบายของตัวเอง หลายคนบอกตัวเองว่าแบบนี้ก็ดีแล้วแต่ชีวิตขาดพลังลงไปทุกวันเพราะแทนที่จะลงมือทำสิ่งที่ต้องทำกลับเอาพลังไปทำเรื่องที่แค่ย้ายความสนใจไปได้เพียงชั่วคราว
หลอกตัวเองว่าปล่อยวางแต่ที่จริงแล้วกลัวที่จะบ่งฝีในชีวิตของตัวเอง เลยไปยุ่งเรื่องคนอื่นหรือทำสิ่งที่ไม่สำคัญในชีวิตจนหมดพลังซังกะตายไปเรื่อยๆ แทนที่จะค่อยๆทำให้ตัวเองเข้มแข็งเตรียมความพร้อม จนจิตใจมั่นคงในการลงมือทำสิ่งที่ควรทำ ก้าวข้ามความกลัวความยากลำบากที่อาจต้องเจอบ้างระหว่างทาง
คนที่หวั่นไหว ยามคนชมก็ลอยคนติก็จม เพราะไม่รู้ชัดว่าตัวเองเป็นใครต้องรอให้คนอื่นมาบอก แต่เมื่อเราหมั่นตรวจสอบขัดเกลาตัวเองอยู่เสมอ เราจะรู้ชัดว่าข้างในนี้เป็นใคร ทำอะไรอยู่และต้องทำอย่างไรจึงประสพผลสำเร็จเป็นประโยชน์ต่อมหาชน และตนเอง
ทันทีที่เรากล้าหาญเผชิญหน้ากับสิ่งที่อยูในใจตัวเองจนรู้ชัดว่าเราจริงกับตัวเอง จนสามารถทำในสิ่งที่ถูกต้องและควรทำได้ เราจะรู้สึกถึงพลังมหาศาลของศักยภาพในตัวเอง เพราะการปรากฎขึ้นของความท้าทายในชีวิตก็เพื่อให้เราได้ค้นพบศักยภาพสูงสุดของความเป็นมนุษย์ในการเรียนรู้เข้าใจ มีความสามารถที่จะรัก ศรัทธา มั่นคงได้ในทุกสถาณะการณ์
ในที่สุดแล้วไม่ว่าจะลงมือทำอะไร ต้องเห็นประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่กว่าของตัวเราเองเสมอ เห็นเราในเขาเห็นเขาในเรา มันเป็นเรื่องง่ายมากเหมือนเวลาที่นักกีฬาลงสนาม เราอาจจมลงไปในสิ่งที่อยู่ตรงหน้า คิดว่าอีกฝ่ายเป็นคู่ต่อสู้จนลืมไปว่ามันไม่ใช่การเอาชนะกันและกัน แต่เป็นเรื่องของการเรียนรู้เพื่อประโยชน์ในระยะยาวในชีวิตของทุกฝ่าย จึงต้องจำให้ได้เสมอที่จะรักษาความปรารถนาดีให้เป็นเครื่องหล่อเลี้ยงขับเคลื่อนการกระทำ เพราะชีวิตปรารถนาดีที่สุดกับเราส่งสิ่งที่ดีที่สุดมาให้เราเสมอ
เพียงมองให้ลึกซึ้งพอ


























เข็มทิศชีวิตมหัศจรรย์






เข็มทิศชีวิต มหัศจรรย์จิต โดยฐิตินาถ ณ พัทลุง behappycompass@gmail.com
นสพ post today 5กย 2553


วันหนึ่งหลังจากเสร็จการบรรยายเรื่อง NLP neurolinguistic programming กับการชำระจิตใต้สำนึกเพื่อเข้าถึงศักยภาพสูงสุดของตน ให้กับองค์กรชื่อดังแห่งหนึ่ง ผู้ชายคนหนึ่งเดินเข้ามาตาแดงกำ่ แต่หน้าเปื้อนยิ้มขนาดหนัก แล้วมาบอกครูอ้อยครับขอจับมือหน่อยครับ ฉันก็ว่า เอาละสิ บรรยายคราวนี้แจ็คพอตแฮะ อ้าว! เอ๊ย! ไม่ใช่! ไม่ได้ค่ะ ขอจับมือวิทยากรไม่ได้ค่ะไม่รวมอยู่ในรายการค่ะ ! ผู้ชายคนนั้นยิ้มขำแล้วบอก ไม่ใช่อย่างนั้นครับ ผมจะมาขอบคุณ

ตอนที่ครูอ้อยเล่าเรื่องผู้หญิงท้องแก่ที่ติดต่อสามีไม่ได้ แทบจะต้องคลอดลูกในแท๊กซี่น่ะครับ ตอนที่แท๊กซี่ปลอบใจเธอว่า ไม่ต้องห่วงหรอกครับคุณผู้หญิง ตอนนี้ตำรวจจราจรทำคลอดได้ทุกไฟแดงแหละครับ ผมหัวเราะเสียแทบแย่

แต่พอตอนที่เธอคลอดแล้วจะลงมาจ่ายเงินกลับมาเจอสามีพาผู้หญิงท้องแก่อีกคนมาคลอด แล้วพอเธอเรียกก็ไม่แม้แต่จะหันมามองหน้าลูกหน้าเมีย จนหลังจากวันนั้นชีวิตเธอเริ่มขาลง ลูก เพื่อนที่ทำงาน ลูกค้า ทำเหมือนเธอเป็นพรมเช็ดเท้า จนเธอเพิ่งมาเห็นตอนมาฟังบรรยายแล้วทำกิจกรรมว่า เหตุที่ชีวิตเธอแย่ลงเพราะ ตอนที่สามีเธอเดินออกไป ความนับถือตัวเองของเธอเดินออกไปพร้อมกับเขาด้วย

แล้วครูทำให้เธอเห็นว่าสิ่งที่สามีทำบอกคุณค่าเขา ไม่ใช่คุณค่าเรา คุณค่าของเรา เรากำหนดเองจากสิ่งที่เราเป็น สามีอาจรู้สึกผิด อ่อนแอ ขลาด จนต้องทำให้เธอรู้สึกแย่แทน

แจ่มแจ้งเลยครับ ผมก็เป็นแบบเธอเหมือนกัน

ตอนต้นชั่วโมงที่ครูอ้อยให้เข้าไปในหัวตัวเองเห็นภาพคนที่เราชื่นชมในคุณสมบัติของเขา เห็นสิ่งที่เขา ทำ มี เป็น แล้วเห็นสิ่งที่เราปรารถนา มี ทำ เป็น ขยายมันจนทุกเส้นประสาทเราทุกส่วนเราสั่นสะเทือน ตอบสนอง
ตอนให้เอาตัวเราไปใส่ในภาพ แล้วขยายภาพเร่งเสียง เหมือนดูหนังจอใหญ่4 มิติ ผมรู้สึกเหมือนทุกอณูในร่างกายมันปรับการเรียงตัวของเซลล์ใหม่ ไอเดียต่างๆ ขั้นตอนการทำให้สำเร็จที่ไม่เคยคิดได้ มันปรากฎชัดขึ้นในหัว เหมือนทุกอณูในตัวมันพร้อมลงมือสู่ความสำเร็จ วิ่งเป็นร้อยภาพภายในเวลาไม่กี่นาที จนผมตลึงว่า ในหัวเราสามารถทำอะไรแบบนี้ได้ด้วยหรือ
แล้วตอนที่ครูอ้อยให้ดูความรู้สึกอึดอัด ที่เราเคยกลบมันด้วยการกินหนัก ช็อปหนัก ดูวีดีโอเกาหลีทั้งวันทั้งคืน ไปกินเหล้า นินทา หากิ๊กใหม่ ให้หยุดกลบเกลื่อนมันแล้วให้กลับไปที่ตอนครั้งแรกที่ความรู้สึกแย่ๆนี้เกิดขึ้นในชีวิต
ตอนแรกผมกลับไปตอนที่เพื่อนไม่เลือกเข้าทีมฟุตบอล แต่พอครูอ้อยบอกให้กลับไปตอนแรกจริงๆ ผมเห็นตอนที่ผมไปรับคุณพ่อที่สนามบิน เพราะคุณพ่อไปอยู่กับเมียน้อยแล้วเราไม่ได้พบกันนานแล้ว

พอไปถึงผมนึกว่าท่านจะดีใจปรากฎว่าคุณพ่อด่าว่า ว่าแกอยากได้ของฝากละสิ ถึงได้มา คนอย่างแกน่ะไม่ควรได้อะไรดีๆหรอก

ผมเพิ่งเห็นว่าคำพูดนั้นฝังอยู่โดยผมไม่รู้ตัวแล้วมันทำให้ทุกครั้งที่ผมกำลังประสพความสำเร็จ บางอย่างในตัวผมก็ทำให้สิ่งดีๆหายไป วันนี้ผมเข้าใจแล้วว่าเป็นเพราะส่วนลึกของผม เชื่อสิ่งที่พ่อพูดโดยไม่รู้ตัวว่าผมไม่คู่ควรกับอะไรที่ดีๆ

พอครูอ้อยให้กลับไปที่จุดเริ่มต้นเอาความเข้าใจ ความกล้าหาญ และอะไรๆที่เรามีตอนนี้กลับไปช่วยเด็กน้อยที่บริสุทธิ์คนนั้น ผมเอาความเข้าใจครับ แจ้งเลยครับ พ่อผมแค่รู้สึกผิดที่ไม่ได้ซื้อของมาฝากผมท่านเลยพูดอย่างนั้น พวกพ่อแม่ไม่รู้ว่าขณะที่ดุให้ลูกสะดุ้งทกคำที่พูดต่อ มันไหลลงไปบันทึกในจิตใต้สำนึกลูกทั้งหมด

พอครูอ้อยให้เปิดเหตุการณ์ภายหลังที่มีความเชื่อมโยงกับความเข้าใจผิดครั้งแรกนั้น ภาพเหตุการ์ณหลังจากนั้น นับร้อยภาพวิ่งผ่านหัว ทุกเรื่องเป็นเรื่องเดียวกันหมด เข้าใจได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที

มันเหมือนผมเข้าใจตัวเองอย่างสมบูรณ์ เข้าใจพ่อยอมรับพ่อและตัวเอง

พอจบด้วยการขยายความสุขแม้เพียงน้อยนิดที่เรามี เอามาเป็นหัวเชื้อความสุข ขยายมันในทุกประสาทสัมผัส จนมันท่วมท้น เอ่อล้น หล่อเลี้ยงหัวใจ มีพลังไปดูแลชีวิต ทำสิ่งดีงามที่เราควรทำ ผมเห็นเลยว่าทุกอย่างในชีวิต ขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราให้มันวิ่งในหัวสมองของเรา

ผมเคยแต่เปิดภาพแย่ๆ ความรู้สึกแย่ๆ เหมือนเปิดแผ่นซีดีห่วยๆในหัว จนชีวิตหดหู่ ล้มแล้วล้มอีก ผมสงสัยมานานแล้วว่าครูอ้อยและคนอื่นๆที่สามารถทำให้ทุกเรื่องกลายเป็นสิ่งดีงามมีประโยชน์ในชีวิตเขาทำอย่างไร

ที่ผ่านมาผมเป็นเหยื่อความคิดตัวเอง ผมเป็นเพียงผู้โดยสาร ไม่ใช่คนขับ แต่วันนี้เป็นต้นไป ทางเลือกอยู่ในมือผมเอง

อ้อ! แล้วผมจะจำไว้เสมอที่ครูอ้อยบอกว่า ความโกรธแค้นคนและสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต เหมือนเรานั่งกินยาเบื่อหนู แล้วหวังว่าหนูจะตาย

ขอบคุณครับ



เข็มทิศชีวิต:ยอดเยี่ยมทุกวัน
ฐิตินาถ ณพัทลุง behappycompass@gmail.com


เมื่อวานให้สัมภาษณ์รายการหนึ่ง มีคนถามว่าทำยังไงเราถึงจะผ่านอุปสรรคให้เป็นความสำเร็จได้ เหมือนที่คนอื่นทำได้

หลายปีที่ผ่านมานอกจากการศึกษาธรรมะแล้ว ฉันทุ่มเทเรียนรู้อีกเรื่องคือวิธีที่จิตใจมนุษย์ทำงาน ด้วยจุดเริ่มต้นความสนใจมาจากการที่บางคน พอเจอเรื่องร้ายๆในวัยเด็กมา เมื่อมาพบธรรมะก็กลับสัมผัสธรรมะผ่านแว่นตาที่ฝ้ามัวของประสพการ์ณในอดีต จนการรับรู้สิ่งต่างๆในชีวิตมันบิดเบี้ยวไปหมด

ฉันจึงศึกษาวิธีการบำบัดเยียวยาจิตใจผู้คน เหมือนผ่าตัดควักเอาความเจ็บปวดในอดีตให้ออกไปจากใจ แล้วให้เขาบรรจุความรู้สึกที่ดีงาม ที่พาชีวิตไปสู่ความสุข ความรักความสำเร็จ ทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น

ฉันพบว่าการทำสิ่งต่างๆให้เกิดเป็นความสุขความสำเร็จในชีวิต มีรูปแบบที่ชัดเจน อยู่ในหัวของคนที่ทำได้ และทุกคนสามารถฝึกฝนให้เกิดขึ้นในหัวตัวเองได้

เจนนี่ประสพความสำเร็จในการทำเว็บบล็อคของเธอในเรื่องที่เธอชอบ แต่ไม่ขยับเลยในบล็อคเรื่องงานที่จะทำเงินให้เธอ ฉันให้เธอย้อนภาพความคิด ขั้นตอนที่เกิดขึ้นในหัวเธอตอนที่ทำเรื่องที่สำเร็จ แล้วเอาเรื่องที่ทำไม่สำเร็จมาใส่ขั้นตอนในสมองใหม่แบบสิ่งที่ทำได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งภาพ เสียง ความคิด ความรู้สึก ความตื่นเต้น กระตือรือล้น ความสั่นสะเทือนในทั้งระบบของร่างกายและจิตใจ จนกลั่นออกมาเป็นแก่นในการขับเคลื่อนผลิตความคิดการกระทำ จนสำเร็จเป็นผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุด

ฉันไปทำเรื่องนี้ให้ผู้บริหาร นักธุรกิจอเมริกัน เมื่อต้นปีและอีกครั้งเมื่อเดือนที่ผ่านมา ทุกคนมารายงานผลในชีวิตตัวเองกันอย่างสนุกสนาน

เพื่อนฉันคนหนึ่งชื่อ ไคล์ เมย์นาร์ด Kyle Maynard เขาไม่มี แขน ขา หลายคนอาจเคยเห็นเขาใน ยูทูบมาบ้าง www.kyle-maynard.com เรานั่งคุยแลกเปลี่ยนกันในวงเพื่อนๆที่ทำเรื่องนี้เหมือนกัน

ไคล์เล่าว่าเขามองการไม่มีแขนไม่มีขาของเขาเป็นสิ่งที่ทำให้เขาเป็นคนที่สมบูรณ์ขึ้นทุกๆวัน ปัจจุบันไคล์เป็นนักพูดสร้างแรงบันดาลใจ นักยกนำ้หนัก นักมวยปลำ้ นักเขียน ที่ไปออกรายการระดับโลกทั้งโอปราห์ ลาร์รี คิงส์ ที่ใครๆฟังแล้วนำ้ตาไหลด้วยความซาบซึ้งใจ ในความมุ่งมั่นจนสำเร็จของเขา

ไคล์บอกว่าเขาเคยกลัวมากจนวันหนึ่งเขาไม่อยากกลัวอีกต่อไป เขาจึงมุ่งมั่นทำจนสำเร็จ จนเขาไม่กลัวอีกแล้ว และเขายังพบว่าทุกครั้งที่ขึ้นเวทีมวยปลำ้ระดับโลกทั้งที่คู่ต่อสู้มีแขนขาแต่เขาไม่มี แต่คู่ต่อสู้ก็กลัวมากเหมือนกัน

เวลาเจออุปสรรค เขาจะมองไปถึงตอนจบว่าเรื่องนี้จะเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ทำให้เขาเป็นคนที่ยอดเยี่ยมขึ้นในตอนจบเสมอ ทุกระบบประสาทของเขาจะตื่นเต้นกระตือรือล้นท้าทาย เห็นภาพชัดเจน มีความสุข เขาทำขั้นตอนที่ยอดเยี่ยมแบบนี้ในสมองทุกครั้งที่เจอความท้าทายใหม่ๆในชีวิตแล้วไคล์ก็ประสพความสำเร็จอย่างงดงามในแต่ละเรื่องจริงๆ

ฉันพบว่าสิ่งต่างๆเกิดขึ้นเพื่อให้โอกาสเราพัฒนาไปสู่จุดที่ดีที่สุดที่เราสามารถเป็นได้เสมอ เมื่อเราเลือกทางที่ถูกต้อง เราจะชอบตัวเอง เคารพตัวเอง และความเคารพตัวเองนำสิ่งที่ดีงามทุกอย่างเข้ามาในชีวิต

จิตใต้สำนึกเรารู้จักตัวเราดีที่สุด สิ่งที่ซ่อนอยู่ในระดับจิตใต้สำนึก ที่เราเสพอยู่ในหัว กำหนดคุณภาพชีวิตเราทั้งหมด อย่าปล่อยให้สิ่งที่เกิดขึ้นในหัวเป็นไปตามยถากรรม รู้สึกตัวอยู่เสมอกับสิ่งที่เกิดอยู่ตรงหน้า และถ้าจะคิดก็คิดให้มันยอดเยี่ยม มีประโยชน์ น่าตื่นเต้น งดงาม แจ่มใส มนุษย์คิดวันละหลายหมื่นครั้ง เราจะบรรจุอะไร ให้เป็นแกนหลัก ความรู้สึกหลัก ที่หล่อเลี้ยงอยู่ในใจเรา

สิ่งที่อยู่ในหัวเรากำหนดชีวิตเรา เลือกให้ยอดเยี่ยมที่สุดไปเลย

บันทึก : ปัจจุบันสถาบันตรัยยา แห่ง โรงพยาบาลปิยะเวท มีการให้บริการบำรุงรักษาสร้างกำลังให้จิตใต้สำนึก ทั้งสำหรับนักธุรกิจบุคคลทั่วไปและ ผู้ป่วยโรคที่รักษาไม่ได้ง่าย และฉันมีโครงการจะไปร่วมบรรยายให้คำแนะนำกับบุคคลทั่วไป ลองสอบถามคุณจีน ที่ 085 560 5533

เข็มทิศชีวิตน้องหมา

เข็มทิศชีวิตน้องหมา

ต้นกล้าเป็นลูกหมาตัวเล็กๆขนสีขาว มันใฝ่ฝันว่าวันหนึ่งจะโต เป็นหมาใหญ่แบบพี่ต้นไม้ หมาใหญ่ประจำบ้าน วันหนึ่งลูกหมาตัวใหม่ชื่อเจ้าก้อนเมฆ ย้ายเข้ามาอยู่ในบ้าน ก้อนเมฆชอบเอาตัวมันไปคลุกซากคางคกตายจนเหม็นหึ่ง ไล่จับตัวอะไรต่อมิอะไรมากินตลอดเวลา จนคุณแม่ไม่อยากเล่นด้วย

ต้นกล้าเลยอบรมเพื่อนหมาว่า

เมื่อก่อนตอนฉันยังเด็ก ฉันก็วิ่งเล่นคลุกซากคางคกตาย กินตัวอะไรๆ จนวันหนึ่ง ฉันกำลังจะตายเพราะลำไส้อักเสบ คนเลี้ยงกำลังจะทิ้งฉัน คุณแม่ก็ ไปถึง วินาทีที่คุณแม่อุ้มฉันขึ้นมา ทั้งๆที่ฉันป่วยไม่ได้อาบนำ้มานาน ตัวเลอะเทอะ ขนหยิกเหนียว ขนสีขาวกลายเป็นกระดำกระด่าง ตอนที่คุณแม่กอดฉันไว้แนบกับอก ่ฉันรู้เลยว่าตั้งแต่วันนี้ชีวิตฉันได้เปลี่ยนไปแล้วอย่างแท้จริง

ชีวิตฉันเปลี่ยนไปเลย จากทีเคยมีชีวิตแค่เล่นสนุกกลายเป็นชีวิตที่มีหน้าที่มีวัตถุประสงค์ เราจะไม่เป็นหมาเต็มหมาจนกว่าเราจะได้รักและเป็นเจ้าของใครสักคนและทำหน้าที่ของเราอย่างเต็มกำลังชีวิตของเราจึงมีความหมาย ตั้งแต่วันนั้นฉัน หมาน้อยต้นกล้าเป็นเจ้าของและมีหน้าที่ต่อมนุษย์คนหนึ่งอย่างแท้จริง

ทุกวันที่คุณแม่กลับถึงบ้าน เราจะต้องกระโดดโลดเต้นแสดงความรักความดีใจของเราออกมาให้เต็มที่ กระโดดหมุนตัวตามด้วยการทำให้หน้าคุณแม่เปียกมากที่สุด ยิ่งเปียกมากเท่าไรก็ยิ่งแสดงว่าเรารักและคิดถึงมากเ่ทานั้น ถึงเวลาตอนเช้าและเย็นเราก็มีสายจูง จูงคนออกไปเดิน คนจะไม่ค่อยรู้เรื่องต้องฝึกก่อน บางครั้งเราจะให้วิ่งคนก็มักหยุดยืนคุย เราก็ต้องฝึกให้คนรู้ ว่าตอนไหนควรวิ่งควรเดิน ควรหยุด โดยเฉพาะตอนที่เราแวะคุยทักทายสาวๆ ตอนไหนควรป้อนขนมเรา คนที่ได้รับการฝึกดีแล้วจะรู้จังหวะว่่าควรทำอะไรตอนไหน

หมาที่ไม่ได้รักใคร ไม่มีหน้าที่ ไม่มีวัตถุประสงค์ในชีวิต จะจมอยู่กับความหวาดกลัว กังวล สงสารตัวเองได้ง่ายเป็นเหยื่อของเรื่องจุกจิกหยุมหยิม เป็นทุกข์กับความเห็นของผู้อื่นที่มีต่อตนเอง เพราะไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร มีหน้าที่ในชีวิตเพื่อทำอะไร เลยต้องรอให้คนอื่นมาบอกว่าตนเองมีค่าหรือไม่มี ดีหรือไม่ดี

การขาดจุดมุ่งหมายขาดวัตถุประสงค์ในชีวิตที่เราจะทุ่มเทกำลังความสามารถเป็นเวทีให้เราพัฒนาตัวเองในทุกๆด้าน เป็นความเลวร้ายที่นำชีวิตไปสู่หายนะได้โดยง่าย

คนขาดจุดมุ่งหมายทนแม้เรื่องเล็กน้อยก็ไม่ได้

คนมีจุดมุ่งหมาย แม้เจอปัญหาอุปสรรคที่ใหญ่ก็สามารถ เปลี่ยนให้เป็นอุปกรณ์ที่นำชีวิตไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองมากขึ้นกว่าตอนที่ยังไม่เคยเจอปัญหาเสียอีก

เข็มทิศชีวิตเห็นถูก

เข็มทิศชีวิต: ความเห็นถูก
โดยฐิตินาถ ณ พัทลุง  สถาบันตรัยยา behappycompass@gmail.com

พล(นามสมมุติ)เป็นนักธุรกิจหนุ่มที่มีคุณสมบัติพร้อม ทั้งฉลาด มีความรู้ความเข้าใจในงานที่ตนทำ นิสัยดี แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมตนถึงไม่ประสพความสำเร็จเสียที

พลไปพบที่ปรึกษาด้านจิตใจเลยระลึกได้ว่า ตอนที่ตัวเองเด็กมากๆ พ่อ ลืมไปรับที่โรงเรียน นั่งรอจนคำ่พ่อจึงนึกได้แล้วมารับ พอมาถึงพ่อเห็นลูกนั่งรออยู่มืดๆคงนึกสงสารลูกจับใจและรู้สึกผิดมากๆไม่รู้จะทำอย่างไรเลยดุว่าลูกเป็นการใหญ่

(อย่าแปลกใจที่เรามักจะพบว่ามีคนเยอะมากที่พอรู้สึกผิดแล้วกลับแสดงออกตรงกันข้ามกับความรู้สึกของตนเอง ตัวอย่างเช่น ผู้ชายบางคนกลับจากบ้านภรรยาน้อย พอมาเห็นภรรยาหลวง ทำงานเลี้ยงลูกหนัก ก็รู้สึกผิด เลยหาเรื่องบ่นว่าอารมณ์เสียเรื่องจุกจิกในบ้าน เพื่อหลีกเลียงที่จะรับผิดชอบต่อความรู้สึกของเธอ) แต่ตั้งแต่วันนั้นเด็กน้อยพล จำฝังใจว่าตนเองไม่มีดี ไม่มีความสามารถ ไม่เป็นที่ยอมรับแม้แต่จากพ่อของตนเอง

เขาโตมาด้วยมุมมองโลก มองเห็นตัวเองแบบนั้นโดยไม่รู้ตัวเลยว่าตนเองแบกความรู้สึกไม่ได้รับการยอมรับมาตลอดเวลา จนเขาได้กลับไปเห็นตนเองมีชีวิตอยู่ในเหตุการณ์นั้นใหม่ เห็นความรู้สึกของพ่อเข้าใจพ่อ เข้าใจว่าเหตุการณ์นั้นและสิ่งที่พ่อทำไม่ได้เป็นการลดคุณค่าของตัวเขาลงแต่อย่างใด ยอมรับตัวเองได้เป็นครั้งแรก ไม่ต้องพยายามวิ่งพิสูจน์ตัวเองให้ประสพความสำเร็จ เป็นที่ยอมรับอย่างที่แล้วๆมา ที่ล้มเหลวเพราะทุกอย่างที่พยายามทำล้วนมาจากกรอบความคิดที่เป็นข้อจำกัดว่าตนเองไม่มีความสามารถ ไม่เป็นที่ยอมรับ เหมือนวนอยู่ในกะลายิ่งทำยิ่งแย่หาทางออกไม่เจอ

นักวิทยาศาสตร์ได้พบว่าเมื่อเราคิดอย่างไร ร่างกายจะหลั่งสารเคมีที่สอดคล้องกันออกมา เช่นเมื่อเราคิดว่าตนไม่มีค่า ร่างกายก็จะหลั่งสารเคมีบางอย่าง ใจรับรู้สิ่งที่เกิดในกาย ใจก็รู้สึกไม่มีค่าพอใจรู้สึก ร่างกายก็หลั่งสารเคมีให้รู้สึกไม่มีค่าเพิ่มออกมาอีก จากใจมาที่กาย จากกายมาที่ใจ จากใจกลับไปที่กายอีก ถ้าคนๆนั้นไม่หยุดวงจรนั้นเสียตรงจุดใดจุดหนึ่งก็ต้องมีชีวิตอยู่ในวงจรนั้นลึกขึ้น ลึกขึ้น ต่อไป

เราทุกคนสามารถฝึกฝนให้เป็นที่ปรึกษาด้านจิตใจตัวเอง โดยฝึกเป็นผู้สังเกตุตนเองที่ดีได้ เป็นผู้เฝ้าดูกาย เฝ้าดูใจ เฝ้าดูสิ่งที่เกิดในกายในใจ ซึ่งการเป็นผู้สังเกตุที่ดี ต้องมีกำลังของสมาธิ มีจิตใจที่มีคุณภาพพอ เราอาจจะใช้การตามรู้ลมหายใจ หรือบริกรรม คำว่าพุธโธ ในระหว่างวัน ร่วมกับเวลาพิเศษที่เราสามารถแบ่งให้กับตัวเองจากตารางเรื่องอื่นๆ

นักวิทยาศาสตร์ได้ผลพิสูจน์ว่าถ้าจะให้เราเรียนรู้อะไรได้ดีต้องทำคลื่นสมองให้ช้าลงจากระดับเบตาเป็นอัลฟา แต่ในการเกิดญาณปัญญาความเข้าใจในระดับจิตใต้สำนึกที่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมมนุษย์ได้ เกิดในระดับคลื่นสมองที่ช้าลงอีกคือธีตาซึ่งเป็นระดับคลื่นสมองที่พบในขณะทำสมาธิ เราจะพบว่าสิ่งที่เราอ่านเจอหรือข้อคิดต่างๆมีผลต่อเราในระดับจิตสำนึกซึ่งเป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆในใจเราเท่านั้น



เคยสังเกตุไหมว่าเวลาเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นจริงๆ เรากลับไม่สามารถทำตามสิ่งที่เราตั้งใจว่าจะทำแต่มักโต้ตอบออกไปตามสัญชาติญาณ ตามกรอบความคิดที่ฝังลึกลงไปในตัวเรา เพราะเราไม่ได้เกิดความเข้าใจจนเกิดความเปลี่ยนแปลงในระดับจิตที่เป็นตัวเราทั้งหมดอย่างแท้จริง

ด้วยใจที่มีกำลังตั้งมั่นเป็นกลาง เราจะพบว่าทุกความรู้สึกทั้งในกายในใจ เป็นแค่เพียงเหมือนฟองอากาศที่ผุดขึ้นแล้วสลายไปทั้งนั้น ความคิดปรุงแต่งตีความในหัวเราผุดขึ้น ความรู้สึกในร่างกายผุดขึ้น การเห็นอย่างมีคุณภาพของใจที่มั่นคง สิ่งที่เกิดขึ้นในกายก็จบลงที่กาย ไม่ต่อเติมเพิ่มส่งไปที่ใจอีกต่อไป

ในชีวิตคนเราอาจมีเหตุการณ์บางอย่างที่กระทบกระเทือนความรู้สึก กระทบกรอบการมองโลกของเรา สิ่งที่เกิดขึ้นแท้จริงแล้วมันไม่ได้ดีหรือร้ายในตัวมันเอง อยู่ที่เราสามารถเห็นด้วยใจที่มั่นคง แล้วเรียนรู้เลือกความเห็นของเราให้ถูกต้องเป็นประโยชน์ ความเห็นถูกของเราเป็นตัวกำหนดคุณภาพชีวิตทั้งหมดของเรา ต้องเลือกอย่างรู้เท่าทัน ทำให้ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นอุปกรณ์ในการเรียนรู้ที่ส่งชีวิตเราไปอยู่ในจุดที่พัฒนายิ่งๆขึ้นไปเสมอ
สิ่งที่คนอื่นทำบอกคุณค่าเขา ไม่ได้บอกคุณค่าเรา คุณค่าของเรา เรากำหนดเองจากสิ่งที่เราคิด เราเป็นภายในอย่างแท้จริง 

เข็มทิศชีวิตปีใหม่

เข็มทิศชีวิตปีใหม่ โดย ฐิตินาถ ณ พัทลุง สถาบันตรัยยา behappycompass@gmail.com

คุณ ก. เล่าว่า“ แต่งงานกับสามีได้ไม่ถึง 2 อาทิตย์ ก็พบว่าเขามีผู้หญิงอื่นเลยต้องหย่ากัน เจ็บปวดกับมันมานานเพราะเพิ่งแต่งกันได้แค่ 2 อาทิตย์เอง”
คุณ ข. “แต่งงานมาอย่างมีความสุขตั้ง36 ปี อยู่ดีๆสามีที่อายุจะ70ก็ไปอยู่กับเด็กผู้หญิงอายุ24 เลยต้องหย่ากัน เจ็บปวดที่สุดเสียดายเวลา 36ปี”

คุณจะเห็นว่าคนเราสามารถหาเหตุผลที่จะจมอยู่กับความทุกข์ได้นานๆเสมอ มีข้ออ้างที่จะมีความทุกข์นานๆ และคนๆนั้นก็สามารถจมกับความทุกข์จนกว่าเขาจะตัดสินใจว่าพอแล้ว และตัดสินใจมีความสุขประสพความสำเร็จในชีวิตจริงๆเสียที
คุณ ก อาจเริ่มก้าวแรกจากการมองเห็นชัดว่าเพิ่งแต่ง2 อาทิตย์แล้วรู้ว่าสามีมีคนอื่น ก็ดีกว่าแต่งไปจนมีลูกแล้วค่อยมารู้ก็ได้
คุณ ข อาจเริ่มเห็นว่าตัวเองได้กำไรความสุขมาตั้ง 36 ปี ในขณะที่เพื่อนของเธอบางคนไม่สามารถแม้แต่จะเลือกคนที่มีความสุขกันได้แค่เดทเดียวเลยด้วยซำ้ อย่าว่าแต่จะหาใครมารักสักปีเลย

สิ่งที่ควรรู้คือหลายคนเลือกเดินไปในชีวิตแบบคนที่มีกากบาทแปะบนหัวว่า ฉันล้มเหลว ไม่เป็นที่ต้องการ เวลาที่ต้องเลิกรากันทั้งในชีวิตคู่ ทางธุรกิจ บริษัทเลิกจ้างงาน พ่อแม่ดุโดยอาจไม่ได้ตั้งใจแค่หงุดหงิด พ่อแม่ทิ้ง ครูตีตรานักเรียนจากความอ่อนแอของครูเอง

ทั้งๆที่ความจริงแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นในการเลือกกระทำของคนๆหนึ่งเป็นปัญหาของคนๆนั้นเป็นความรับผิดชอบ เป็นการตัดสินใจของเขาตามปมในใจของเขาเอง แต่การที่เราจะเลือกรับมันมาคิดและทำอย่างไรกับมันนี่สิ ที่เป็นกรรมปัจจุบันของเรา เป็นการเลือกและการรับผิดชอบของตัวเราเอง

ภรรยาที่โกรธแค้นจะรู้สึกสบายใจขึ้นไหม ถ้าคุณได้รู้ว่าในหลายคู่เวลาที่สามีตัดสินใจนอกใจโดยไม่มีเหตุผล และยอมรับว่าภรรยาไม่ได้บกพร่อง เกิดจากปมเล็กในตัวสามี มีเด็กเล็กๆในตัวเขาที่มีร่องรอยบาดแผลมาจากในอดีตตอนเด็กๆ ทำให้ถึงแม้ว่าเขาจะพยายามต้านทานไม่อยากเป็นแบบพ่อ ไม่อยากเป็นแบบแม่แต่ก็เลี่ยงไม่ได้ ใช้พลังงานในการควบคุมตัวเองให้ทำสิ่งที่ถูกต้องไม่ทำพฤติกรรมที่ทำร้ายชีวิตตัวเอง ซึ่งรวมถึงการเสพติดผู้หญิง งาน ช็อปปิ้ง เหล้า การพนัน แต่ทำไม่สำเร็จ

คุณพ่อหลายคนอยากรักษาปมในใจตัวเองเพราะมันทำให้ลูกของเขากลายเป็นเด็กก้าวร้าวที่บ้าน แต่ถูกเพื่อนรังแกที่โรงเรียน ติดเกม ติดวัตถุ ทำร้ายตัวเองควบคุมอารมณ์ไม่ได้ เห็นแก่ตัว รังแกน้อง ผลการเรียนตก สมาธิสั้น

การเข้าไปในจิตใต้สำนึกของตัวเองแบบคนที่โตแล้ว ไปเข้าใจเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตอนเราเป็นเด็ก เราอาจกลัวแม้กระทั่งความมืด และเสียงดัง แต่ตอนนี้เราเป็นผู้ใหญ่ มีความรู้ความเข้าใจมีประสพการณ์ เราสามารถกลับเข้าไปดูสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้น และทำความเข้าใจ ให้อภัยกับคนรอบข้างและตัวเองได้ เพื่อความเป็นอิสระของจิตใจตัวเอง

การเก็บความโกรธ ความไม่เข้าใจในวัยเด็กไว้ ทำให้เราไม่ได้มีโอกาสใช้สิ่งดีๆและความรักที่พ่อแม่และคนรอบตัวมอบให้ และจำกัดศักยภาพความสำเร็จของตัวเราเอง

ผู้ชายคนหนึ่งทำงานอะไรก็ไม่สำเร็จ หรือไม่เสร็จ เขาเพิ่งพบว่าตอนเด็กๆ วันหนึ่ง เอาเกรดกลับไปให้แม่ดูด้วยความดีใจว่าได้เกรด เอ เกือบทุกวิชายกเว้นสองวิชา ที่ได้บี ใจเด็กน้อยพองโต รอรับคำชมจากแม่ ทันทีที่แม่เห็นเกรด แม่พูดว่า
อะไรกันอีก สองวิชาเท่านั้นก็จะได้ เอ ทุกวิชา ทำไมไม่ทำให้ได้ล่ะลูก”
เด็กน้อยช็อค ตั้งแต่นั้นก็ลุ้นเกร็งทุกครั้งที่มีการวัดผล จนเลี่ยงที่จะทำอะไรไปจนถึงจุดสำเร็จ จนวันนี้อายุ 50 ปีแล้วก็ยังหลีกเลียงการทำสิ่งต่างๆให้สำเร็จโดยไม่รู้ตัวอยู่เลย ทั้งๆที่ก็รู้ว่าแม่รักมากที่สุดและไม่เคยมีเจตนาร้ายกับลูกเลย

ปีใหม่นี้ ลองใช้เวลาตรวจสอบบำรุงใจตัวเอง ทบทวน เข้าใจผู้คน เรียนรู้เข้าไปแก้ไขที่ความเข้าใจของเรา เพื่อความสุขและความสำเร็จของตัวเราเองและคนอื่นเวลาที่มีคนที่ทำไม่ดี แม้เราอาจต้องจัดการบางสิ่งบางอย่างให้ถูกต้องตามหน้าที่ในโลก ก็ให้ทำด้วยความปรารถนาดีว่า คนมีเจตนาที่ดี แต่อาจขาดข้อมูล ได้รับข้อมูลที่ผิดหรือ แค่อ่อนแอเพราะปมในใจตัวเอง หรือยังเรียนรู้ไม่พอเท่านั้น ทำหน้าที่ของเราด้วยความปรารถนาดีตรวจสอบความรู้สึกในร่างกายและจิตใจตัวเอง

สิ่งที่ถูกต้องดีงามจะให้ผลเป็นเวทนาทางกายและทางใจที่ดีงามตั้งแต่ก่อนทำ ระหว่างทำและหลังทำ