โค้ชจิตใต้สำนึก เข็มทิศชีวิตใหม่..ฐิตินาถ ณ พัทลุง
โดย : ดุลยปวีณ กรณฑ์แสง
ทำไมคนบางแบบถึงเข้ามาในชีวิตเรา ทำไมปัญหบางอย่างถึงเข้ามาสร้างความวุ่นวายซ้ำๆ ในชีวิต..คำตอบที่แท้จริงอาจมีต้นตอลึกๆอยู่ที่ปมในใจของเราเอง
185 ราชดำริ คอนโดความหรูหรากลางกรุงเทพ วิถีชีวิตบน ถ.ราชดำริ การลงทุนที่คุ้มค่าของคุณwww.RaimonLand.com
ผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดฟันหนี่งในคลินิกทำฟันที่ใหญ่ที่สุด ได้ ISO รับแพกเกจส่วนลดวันนี้www.bangkokdentalhospital.com
ในยุคที่ผู้คนพากันโหยหา "ฮาวทูความสุข" สารพัดรูปแบบ การมีที่พึ่งทางใจอย่าง "Life Coach" หรือโค้ชชีวิตเก่งๆ สักคน กลายเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ใครหลายคนพร้อมจะจ่ายเงินหลักหมื่นเพื่อแลกกับการเยียวยาหัวใจ สะสางปมปัญหาร้ายๆ ให้พ้นไปจากชีวิต
ตั้งแต่สวมบทบาทใหม่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านจิตใต้สำนึกให้แก่องค์กรต่างๆและที่สถาบันตรัยยา โรงพยาบาลปิยะเวท เมื่อปีที่แล้ว ฐิตินาถ ณ พัทลุง ทำหน้าที่เป็น "ผู้ช่วย" ให้แก่คนไข้สารพัดปัญหาชีวิตที่เข้าคิวมาปรึกษา ตั้งแต่นักธุรกิจพันล้าน วัยรุ่นติดยา คนทำงานที่แก้ปัญหาชีวิตไม่ตก ไปจนถึงผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายที่สิ้นหวังกับชีวิต
ฐิตินาถ ตั้งคำถามชวนคิดว่าเคยสงสัยไหมทำไมคนบางแบบถึงเข้ามาในชีวิตเรา ทำไมปัญหาบางอย่างถึงเข้ามาสร้างความวุ่นวายซ้ำๆ ในชีวิต
คำตอบที่แท้จริงอาจมีต้นตอลึกๆ อยู่ที่ปมในใจของเราเอง โดยที่ปัญหาต่างๆ เข้ามาเพื่อตอกย้ำให้เราได้จัดการสะสางจนกว่าเราจะหลุดจากปมที่ฝังลึกในใจ
บางคนอาจเลือกกลบเกลื่อนความทุกข์ไว้ในส่วนลึกเพื่อหนีจากสิ่งที่ควรทำจริงๆ ในชีวิต เช่น ไปชอปปิง เล่นเฟซบุ๊ค ใช้ชีวิตทำอะไรก็ได้ให้ลืมๆ กินทั้งที่ไม่หิวจนอ้วนมาก ทำงานเพื่อลืมความทุกข์จนเสียสุขภาพ มีแฟนเยอะแต่เหงามาก ฯลฯ
แม้กระทั่งไปอาสาทำเรื่องของคนอื่นหรือส่วนรวมเพื่อหลีกเลี่ยงไม่สะสางเรื่องค้างคาของตนเอง หรือจิตใต้สำนึกสั่งให้เก็บความเจ็บป่วยหรือความทุกข์เรื้อรังไว้ เพื่อใช้เป็นที่ซ่อนตัวเพื่อจะได้ไม่ต้องส่งมอบผลงานในชีวิต และรับผิดชอบต่อครอบครัวและตนเอง
หน้าที่ของโค้ชจิตใต้สำนึก คือ การทำหน้าที่เป็นเหมือนผู้ช่วยพาผู้คนสำรวจสิ่งที่แต่ละคนเก็บฝังไว้ในจิตใต้สำนึกซึ่งเราอาจจำไม่ได้หรือไม่รู้เลยว่ามันมีผลต่อวิธีคิดและการตัดสินใจของเรามาถึงปัจจุบัน
“ ไลฟ์โค้ชทำหน้าที่เป็นเหมือนไกด์ ที่ช่วยให้เขาผ่อนคลายไปสู่คลื่นสมองที่ช้าลงจนถึงระดับธีต้า เมื่อเราได้ย้อนกลับไปสู่เหตุการณ์นั้นๆ อีกครั้งที่ซ่อนลึก ได้ถอยออกมามองปมปัญหาในแบบผู้ใหญ่ที่มีความรู้ความเข้าใจ มันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบถอนรากถอนโคนในชีวิต”
ฐิตินาถ ยกตัวอย่างว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งป่วยทางกายกระดูกหักทั้งตัว แต่แท้จริงแล้วจิตใจข้างในของเขาต่างหากที่แตกสลายไปหมดแล้ว หรือเด็กวัยรุ่นบางคนที่เคยติดยาบำบัดมาไม่รู้ต่อกี่ครั้ง แต่ทันทีที่เขาเข้าไปจัดการใจของเขาได้ จากที่เคยตื่นมาแล้วรู้สึกชีวิตว่างเปล่า และต้องพึ่งการใช้ยา ในวันที่ใจเต็มเขาก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องพึ่งยาอีกต่อไป
“ เขาบอกว่าพอคิดจะเล่นยา มันไม่อร่อยแล้ว เพราะไม่ต้องใช้ยาก็เข้าไปถึงจุดที่ไฮได้ นั่นคือเขาสามารถเข้าไปจัดการกับใจตัวเองได้แล้ว”
อีกเคสที่ฐิตินาถมักจะนำมาเล่าถึง คือ ผู้หญิงอายุกว่า 50 ปีคนหนึ่งที่สงสัยเหลือเกินว่าทำไมเธอจึงได้รับผลตอบแทนน้อย ทั้งๆ ที่เป็นคนมีความสามารถ แต่คนมักปฏิบัติกับเธอแบบเป็นภาระ มากกว่าเป็นคนที่มีค่า
ขณะที่เข้าสู่ภาวะผ่อนคลาย คลื่นสมองช้าลงจนถึงระดับธีต้า เธอจำความรู้สึกขณะที่เป็นเด็กทารกได้ เธอรู้สึกว่าขณะนั้นแม่ไม่ต้องการให้เธออยู่ในท้อง เธอได้เห็นเหตุผลเลยว่าทำไมตลอดทั้งชีวิตความรู้สึกว่าตัวเองไม่เป็นที่ต้องการถึงอยู่กับเธอเสมอ จนทำให้เธอมีแฟนตั้งครรภ์ตั้งแต่อายุ 17 เพื่อจะได้มีใครสักคน ทั้งที่เธอเป็นคนสวย ใจดี แต่คนอื่นๆ มักจะปฏิบัติกับเธอไม่ดีเสมอ
ความจริงคือ ตอนที่แม่ตั้งครรภ์ พ่อไปมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงอื่น แต่ติดเชื้อซิฟิลิสมา ทำให้แม่เป็นห่วงมากกลัวว่าเธอจะพิการโดยที่ไม่รู้เลยว่า ความรู้สึกไม่อยากให้เธอมาอยู่ในท้องได้ไปบันทึกไว้ในจิตใต้สำนึกส่วนที่ลึกที่สุดของเธอเรียบร้อยแล้ว
ยังมีเคสของนักธุรกิจอีกคนหนึ่งอายุ 50 กว่าแล้ว ทุกครั้งที่สร้างความสำเร็จมาถึงจุดหนึ่งทีไรเขาจะทำพังลงทุกที จนมาค้นพบปมที่ฝังลึกในวัยเด็กที่ภาวะสมองช็อกเพราะตกใจกับคำพูดของพ่อที่พูดใส่หน้าว่า “คนอย่างแกไม่คู่ควรกับการได้อะไรดีๆ หรอก”
ย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นของการสนใจศึกษาวิชาการจัดการจิตใต้สำนึกอย่างจริงจัง ฐิตินาถเล่าว่าเริ่มต้นจากการไปบรรยายเล่าถึงวิธีการที่เธอจัดการกับปัญหาหนี้ชีวิตร้อยล้าน แต่ทำไมหลายคนถึงทำไม่ได้ นั่นเพราะเขายังคิดด้วยระบบความคิดเดิมที่ทำให้เป็นหนี้
“ไอน์สไตน์บอกว่าคุณไม่สามารถแก้ปัญหาด้วยความคิดระดับเดียวกับที่สร้างปัญหาให้คุณได้ แต่คุณต้องไปอีกจุดหนึ่ง ตอนที่แก้ปัญหาหนี้ได้ อ้อยจำได้ว่าแค่เห็นหนี้กับใจเป็นคนละส่วน แล้วจัดการหนี้เหมือนไม่มีอะไร ฉันก็มีความสุขได้ มันเป็นวิธีที่สมองทำงานอีกแบบคือการแยกตัวจากปัญหา แต่คนทั่วไปที่ไม่ได้ปฏิบัติสมาธิจะช่วยยังไงให้เขาถอนตัวออกมาให้มองเห็นปัญหาแล้วจัดการ ซึ่งการใช้จิตใต้สำนึกเป็นวิธีหนึ่งซึ่งฝรั่งใช้มา 40 ปีแล้ว แม้แต่ดาราซูเปอร์สตาร์คนที่ประสบความสำเร็จระดับโลกหลายคนล้วนมีโค้ชที่เป็นนักจิตใต้สำนึก” ฐิตินาถ เล่า
หลายปีที่ผ่านมา ฐิตินาถใช้เงินนับล้านเพื่อร่ำเรียนศาสตร์ด้านการใช้จิตสำนึกอย่างเงียบๆ ในต่างประเทศ และบางครั้งถึงขนาดส่งตั๋วเชิญอาจารย์บินมาสอนตัวต่อตัวที่เมืองไทย
“ ถ้าทำอะไรแล้วก็อยากทำให้ดีที่สุดในเมืองไทย อ้อยเลือกเรียนกับคนที่เก่งที่สุดของโลก และเป็นเจ้าตำรับเบอร์หนึ่งของโลก คือ ดร.ริชาร์ด แบนด์เลอร์ ซึ่งเป็นคนค้นพบศาสตร์ที่เรียกว่า NLP (Neuro-linguistic Programming) มา 40 ปี และไปเรียนกับหลายคนที่เก่งๆ ของโลกทั้งสวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส อังกฤษ อเมริกา และเริ่มมาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านจิตใต้สำนึกที่โรงพยาบาลปิยะเวทเมื่อปีที่แล้ว “
ชั่วโมงละ 15,000 บาท คือ ค่าใช้จ่ายในการให้คำปรึกษาต่อหนึ่งครั้งโดยปัจจุบันเธอมีคิวจองยาวล่วงหน้าไปแล้วถึง 2 ปี ล่าสุด ฐิตินาถเพิ่งจัดงานเปิดตัวหลักสูตรเข็มทิศจิตใต้สำนึกที่เธอตั้งบริษัทเข็มทิศเอ็นแอลพี www.compassNLP.com เพื่อผลิตบุคคลากรโค้ชจิตใต้สำนึกในเมืองไทย รวมถึงบุคคลทั่วไปที่มีความสนใจอยากเป็นโค้ชเพื่อรักษาตัวเอง โดยหลักสูตรพื้นฐานครั้งแรกเปิดอบรมในวันเสาร์-อาทิตย์ที่ 19-20 มีนาคม นี้ ที่โรงแรมสนามกอล์ฟฮิลล์ไซด์คันทรีโฮม ราคา 8,800 บาท เมื่อเรียนครบหลักสูตรทั้ง 4 ครั้งจะได้รับประกาศนียบัตรที่ได้รับการรับรองโดยตรงจากสถาบัน NLP อเมริกา
“คนที่มาสมัครมาเรียนกับเรามีทั้งหมอ นักแนะแนว ที่ปรึกษา นักการตลาด พ่อแม่ ครู คนธรรมดาที่อยากประสบความสำเร็จแบบมีความสุข ครึ่งหนึ่งเป็นคนธรรมดาทั่วไปและอีกครึ่งหนึ่งเป็นคนในวิชาชีพที่สนใจ
การเป็นโค้ชต้องอาศัยการฝึกฝนและไม่ง่าย เหมือนคนเรียนจบการตลาดเป็นล้านคน แต่คนที่เป็นนักการตลาดเก่งๆ จริงอาจมีไม่กี่คน คนที่มาเรียนด้านนี้ควรต้องมีจิตใจที่อยากช่วยคนอื่น อยากเห็นคนอื่นมีความสุข เชื่อระบบที่วัดผลเป็นรูปธรรมได้ ส่วนใครที่คิดว่าเป็นอาชีพที่มีผลตอบแทนดีแต่ไม่มีความจริงใจ อะไรก็ตามถ้าคิดจะฉวยโอกาสก่อนคุณไม่มีทางประสบความสำเร็จ และถ้าคิดจะมาเอาก่อนก็ติดลบตั้งแต่เริ่มคิดแล้ว
ถ้าคนจะมาสอนคนอื่น คุณต้องผ่านชีวิตได้ก่อนและคุณต้องมีแล้วก่อน อ้อยเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่าถ้าคุณยังไม่มี คุณอย่าไปสอนคนอื่นเลย" เจ้าของหลักสูตรเข็มทิศจิตบำบัดเชื่อเช่นนั้น
--------------------------
ตั้งแต่สวมบทบาทใหม่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านจิตใต้สำนึกให้แก่องค์กรต่างๆและที่สถาบันตรัยยา โรงพยาบาลปิยะเวท เมื่อปีที่แล้ว ฐิตินาถ ณ พัทลุง ทำหน้าที่เป็น "ผู้ช่วย" ให้แก่คนไข้สารพัดปัญหาชีวิตที่เข้าคิวมาปรึกษา ตั้งแต่นักธุรกิจพันล้าน วัยรุ่นติดยา คนทำงานที่แก้ปัญหาชีวิตไม่ตก ไปจนถึงผู้ป่วยมะเร็งระยะสุดท้ายที่สิ้นหวังกับชีวิต
ฐิตินาถ ตั้งคำถามชวนคิดว่าเคยสงสัยไหมทำไมคนบางแบบถึงเข้ามาในชีวิตเรา ทำไมปัญหาบางอย่างถึงเข้ามาสร้างความวุ่นวายซ้ำๆ ในชีวิต
คำตอบที่แท้จริงอาจมีต้นตอลึกๆ อยู่ที่ปมในใจของเราเอง โดยที่ปัญหาต่างๆ เข้ามาเพื่อตอกย้ำให้เราได้จัดการสะสางจนกว่าเราจะหลุดจากปมที่ฝังลึกในใจ
บางคนอาจเลือกกลบเกลื่อนความทุกข์ไว้ในส่วนลึกเพื่อหนีจากสิ่งที่ควรทำจริงๆ ในชีวิต เช่น ไปชอปปิง เล่นเฟซบุ๊ค ใช้ชีวิตทำอะไรก็ได้ให้ลืมๆ กินทั้งที่ไม่หิวจนอ้วนมาก ทำงานเพื่อลืมความทุกข์จนเสียสุขภาพ มีแฟนเยอะแต่เหงามาก ฯลฯ
แม้กระทั่งไปอาสาทำเรื่องของคนอื่นหรือส่วนรวมเพื่อหลีกเลี่ยงไม่สะสางเรื่องค้างคาของตนเอง หรือจิตใต้สำนึกสั่งให้เก็บความเจ็บป่วยหรือความทุกข์เรื้อรังไว้ เพื่อใช้เป็นที่ซ่อนตัวเพื่อจะได้ไม่ต้องส่งมอบผลงานในชีวิต และรับผิดชอบต่อครอบครัวและตนเอง
หน้าที่ของโค้ชจิตใต้สำนึก คือ การทำหน้าที่เป็นเหมือนผู้ช่วยพาผู้คนสำรวจสิ่งที่แต่ละคนเก็บฝังไว้ในจิตใต้สำนึกซึ่งเราอาจจำไม่ได้หรือไม่รู้เลยว่ามันมีผลต่อวิธีคิดและการตัดสินใจของเรามาถึงปัจจุบัน
“ ไลฟ์โค้ชทำหน้าที่เป็นเหมือนไกด์ ที่ช่วยให้เขาผ่อนคลายไปสู่คลื่นสมองที่ช้าลงจนถึงระดับธีต้า เมื่อเราได้ย้อนกลับไปสู่เหตุการณ์นั้นๆ อีกครั้งที่ซ่อนลึก ได้ถอยออกมามองปมปัญหาในแบบผู้ใหญ่ที่มีความรู้ความเข้าใจ มันจะเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบถอนรากถอนโคนในชีวิต”
ฐิตินาถ ยกตัวอย่างว่า มีผู้หญิงคนหนึ่งป่วยทางกายกระดูกหักทั้งตัว แต่แท้จริงแล้วจิตใจข้างในของเขาต่างหากที่แตกสลายไปหมดแล้ว หรือเด็กวัยรุ่นบางคนที่เคยติดยาบำบัดมาไม่รู้ต่อกี่ครั้ง แต่ทันทีที่เขาเข้าไปจัดการใจของเขาได้ จากที่เคยตื่นมาแล้วรู้สึกชีวิตว่างเปล่า และต้องพึ่งการใช้ยา ในวันที่ใจเต็มเขาก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องพึ่งยาอีกต่อไป
“ เขาบอกว่าพอคิดจะเล่นยา มันไม่อร่อยแล้ว เพราะไม่ต้องใช้ยาก็เข้าไปถึงจุดที่ไฮได้ นั่นคือเขาสามารถเข้าไปจัดการกับใจตัวเองได้แล้ว”
อีกเคสที่ฐิตินาถมักจะนำมาเล่าถึง คือ ผู้หญิงอายุกว่า 50 ปีคนหนึ่งที่สงสัยเหลือเกินว่าทำไมเธอจึงได้รับผลตอบแทนน้อย ทั้งๆ ที่เป็นคนมีความสามารถ แต่คนมักปฏิบัติกับเธอแบบเป็นภาระ มากกว่าเป็นคนที่มีค่า
ขณะที่เข้าสู่ภาวะผ่อนคลาย คลื่นสมองช้าลงจนถึงระดับธีต้า เธอจำความรู้สึกขณะที่เป็นเด็กทารกได้ เธอรู้สึกว่าขณะนั้นแม่ไม่ต้องการให้เธออยู่ในท้อง เธอได้เห็นเหตุผลเลยว่าทำไมตลอดทั้งชีวิตความรู้สึกว่าตัวเองไม่เป็นที่ต้องการถึงอยู่กับเธอเสมอ จนทำให้เธอมีแฟนตั้งครรภ์ตั้งแต่อายุ 17 เพื่อจะได้มีใครสักคน ทั้งที่เธอเป็นคนสวย ใจดี แต่คนอื่นๆ มักจะปฏิบัติกับเธอไม่ดีเสมอ
ความจริงคือ ตอนที่แม่ตั้งครรภ์ พ่อไปมีความสัมพันธ์กับผู้หญิงอื่น แต่ติดเชื้อซิฟิลิสมา ทำให้แม่เป็นห่วงมากกลัวว่าเธอจะพิการโดยที่ไม่รู้เลยว่า ความรู้สึกไม่อยากให้เธอมาอยู่ในท้องได้ไปบันทึกไว้ในจิตใต้สำนึกส่วนที่ลึกที่สุดของเธอเรียบร้อยแล้ว
ยังมีเคสของนักธุรกิจอีกคนหนึ่งอายุ 50 กว่าแล้ว ทุกครั้งที่สร้างความสำเร็จมาถึงจุดหนึ่งทีไรเขาจะทำพังลงทุกที จนมาค้นพบปมที่ฝังลึกในวัยเด็กที่ภาวะสมองช็อกเพราะตกใจกับคำพูดของพ่อที่พูดใส่หน้าว่า “คนอย่างแกไม่คู่ควรกับการได้อะไรดีๆ หรอก”
ย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นของการสนใจศึกษาวิชาการจัดการจิตใต้สำนึกอย่างจริงจัง ฐิตินาถเล่าว่าเริ่มต้นจากการไปบรรยายเล่าถึงวิธีการที่เธอจัดการกับปัญหาหนี้ชีวิตร้อยล้าน แต่ทำไมหลายคนถึงทำไม่ได้ นั่นเพราะเขายังคิดด้วยระบบความคิดเดิมที่ทำให้เป็นหนี้
“ไอน์สไตน์บอกว่าคุณไม่สามารถแก้ปัญหาด้วยความคิดระดับเดียวกับที่สร้างปัญหาให้คุณได้ แต่คุณต้องไปอีกจุดหนึ่ง ตอนที่แก้ปัญหาหนี้ได้ อ้อยจำได้ว่าแค่เห็นหนี้กับใจเป็นคนละส่วน แล้วจัดการหนี้เหมือนไม่มีอะไร ฉันก็มีความสุขได้ มันเป็นวิธีที่สมองทำงานอีกแบบคือการแยกตัวจากปัญหา แต่คนทั่วไปที่ไม่ได้ปฏิบัติสมาธิจะช่วยยังไงให้เขาถอนตัวออกมาให้มองเห็นปัญหาแล้วจัดการ ซึ่งการใช้จิตใต้สำนึกเป็นวิธีหนึ่งซึ่งฝรั่งใช้มา 40 ปีแล้ว แม้แต่ดาราซูเปอร์สตาร์คนที่ประสบความสำเร็จระดับโลกหลายคนล้วนมีโค้ชที่เป็นนักจิตใต้สำนึก” ฐิตินาถ เล่า
หลายปีที่ผ่านมา ฐิตินาถใช้เงินนับล้านเพื่อร่ำเรียนศาสตร์ด้านการใช้จิตสำนึกอย่างเงียบๆ ในต่างประเทศ และบางครั้งถึงขนาดส่งตั๋วเชิญอาจารย์บินมาสอนตัวต่อตัวที่เมืองไทย
“ ถ้าทำอะไรแล้วก็อยากทำให้ดีที่สุดในเมืองไทย อ้อยเลือกเรียนกับคนที่เก่งที่สุดของโลก และเป็นเจ้าตำรับเบอร์หนึ่งของโลก คือ ดร.ริชาร์ด แบนด์เลอร์ ซึ่งเป็นคนค้นพบศาสตร์ที่เรียกว่า NLP (Neuro-linguistic Programming) มา 40 ปี และไปเรียนกับหลายคนที่เก่งๆ ของโลกทั้งสวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส อังกฤษ อเมริกา และเริ่มมาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านจิตใต้สำนึกที่โรงพยาบาลปิยะเวทเมื่อปีที่แล้ว “
ชั่วโมงละ 15,000 บาท คือ ค่าใช้จ่ายในการให้คำปรึกษาต่อหนึ่งครั้งโดยปัจจุบันเธอมีคิวจองยาวล่วงหน้าไปแล้วถึง 2 ปี ล่าสุด ฐิตินาถเพิ่งจัดงานเปิดตัวหลักสูตรเข็มทิศจิตใต้สำนึกที่เธอตั้งบริษัทเข็มทิศเอ็นแอลพี www.compassNLP.com เพื่อผลิตบุคคลากรโค้ชจิตใต้สำนึกในเมืองไทย รวมถึงบุคคลทั่วไปที่มีความสนใจอยากเป็นโค้ชเพื่อรักษาตัวเอง โดยหลักสูตรพื้นฐานครั้งแรกเปิดอบรมในวันเสาร์-อาทิตย์ที่ 19-20 มีนาคม นี้ ที่โรงแรมสนามกอล์ฟฮิลล์ไซด์คันทรีโฮม ราคา 8,800 บาท เมื่อเรียนครบหลักสูตรทั้ง 4 ครั้งจะได้รับประกาศนียบัตรที่ได้รับการรับรองโดยตรงจากสถาบัน NLP อเมริกา
“คนที่มาสมัครมาเรียนกับเรามีทั้งหมอ นักแนะแนว ที่ปรึกษา นักการตลาด พ่อแม่ ครู คนธรรมดาที่อยากประสบความสำเร็จแบบมีความสุข ครึ่งหนึ่งเป็นคนธรรมดาทั่วไปและอีกครึ่งหนึ่งเป็นคนในวิชาชีพที่สนใจ
การเป็นโค้ชต้องอาศัยการฝึกฝนและไม่ง่าย เหมือนคนเรียนจบการตลาดเป็นล้านคน แต่คนที่เป็นนักการตลาดเก่งๆ จริงอาจมีไม่กี่คน คนที่มาเรียนด้านนี้ควรต้องมีจิตใจที่อยากช่วยคนอื่น อยากเห็นคนอื่นมีความสุข เชื่อระบบที่วัดผลเป็นรูปธรรมได้ ส่วนใครที่คิดว่าเป็นอาชีพที่มีผลตอบแทนดีแต่ไม่มีความจริงใจ อะไรก็ตามถ้าคิดจะฉวยโอกาสก่อนคุณไม่มีทางประสบความสำเร็จ และถ้าคิดจะมาเอาก่อนก็ติดลบตั้งแต่เริ่มคิดแล้ว
ถ้าคนจะมาสอนคนอื่น คุณต้องผ่านชีวิตได้ก่อนและคุณต้องมีแล้วก่อน อ้อยเชื่ออยู่อย่างหนึ่งว่าถ้าคุณยังไม่มี คุณอย่าไปสอนคนอื่นเลย" เจ้าของหลักสูตรเข็มทิศจิตบำบัดเชื่อเช่นนั้น
--------------------------